เมื่อหลายปีมาแล้วในฐานะผู้ปกครองต้องดูแลลูกในการอบรมเลี้ยงดูลูก จะให้ความเป็นอิสระ เป็นประชาธิปไตย ร่วมคิด ร่วมฟังความคิดเห็นของลูก ต่างจากเมื่อเราเป็นเด็กที่ต้องอยู่ในกรอบกติกาของพ่อแม่เป็นผู้กำหนดทั้งหมด เมื่อลูกชายไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ด้วยวัย ๖ ขวบ ก็มีเรื่องเกิดขึ้นโดยครูประจำชั้นได้เชิญผู้ปกครองไปพบ ว่าลูกของท่านมีปัญหาขอเชิญมาพบครูประจำชั้นโดยด่วน ด้วยความตกใจ แปลกใจ ลูกพึงเข้าเรียนแค่ชั้น ป.๑ ไปสร้างปัญหาเกิดขึ้นแล้วหรือนี่ ก็ต้องไปตามคำสั่งของครู ไม่เช่นนั้นปัญหาอื่น ๆ จะตามมาอีกมากมาย พอไปพบครูประจำชั้น ก็ได้เล่าถึงพฤติกรรมการเรียนของลูกให้ฟังว่า ลูกของท่านเป็นเกกร้าวร้าว บอกอะไรก็ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว เช่น ให้ร้องเสียงแมว ลูกของผมก็ร้องเสียงสุนัข พอครูให้ร้องเสียงสุนัข ลูกจะร้องเสียงแมวเป็นต้น พอครูเล่าจบ ก็ได้สนทนาพูดคุยกับลูกว่า ทำไมหนูจึงได้ทำเช่นนี้ ทำไมไม่ทำตามคำสั่งของครู ลูกก็ได้โยนคำตอบออกมาว่า ถ้าหนูไม่ทำอย่างนี้หนูก็ไม่มีโอกาสมาอยู่หน้าห้องหรือได้แสดงหน้าห้อง (การที่มายืนหน้าห้องคือครูลงโทษนะครับ) เพราะขณะที่ครูถาม หนูยกมือตอบแต่ครูไม่เคยเรียกหนูตอบ หรือถูกคัดออกไปแสดงน่าชั้นเลย พอได้คำตอบกับลูกจึงถึงบางอ้อว่า ที่ลูกต้องทำเช่นนี้เพราะต้องการแสดงออกให้เพื่อเห็น ต้องการแสดงหน้าชั้น แต่ไม่มีโอกาส
การที่ครูเข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างแท้จริง การวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดกับเด็กเป็นรายบุคคลอย่างท่องแท้ จะสามารถแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพได้
ไม่มีความเห็น