ในตอนที่ ๔ ของบันทึกในชื่อเดียวกันนี้ ผมได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผลผลิตของการศึกษาปัจจุบัน ที่พบว่า นักศึกษาได้รับเอาวัฒนธรรมที่นำเข้ามาจากภายนอก แม้ว่า มันจะมีส่วนดีอยู่ แต่สิ่งที่เราพบก็คือ มีแนวโน้มว่า จะเป็นที่นิยมในส่วนอื่นจากนั้น ซึ่งมันได้ก่อให้เกิดช่องว่างและความแปลกแยกขึ้นกับคุณค่าและวัฒนธรรมอันดีงาม ซึ่งนับวันช่องว่างและความแปลกแยกนั้นจะยิ่งถางกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ในมุมมองของอัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานลงมาแก่มวลมนุษยชาติ โองการแรกสุดที่อัลลอฮฺประทานลงมาแก่ท่านศาสดามุหัมมัดนั่นคือ โองการที่ 1-5 ของซูเราะฮฺ อัลอะลัก ที่ทรงตรัสความว่า
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานี
[96.1] จงอ่าน ด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงบังเกิด
[96.2] ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด
[96.3] จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง
[96.4] ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา
[96.5] ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้
จากโองการดังกล่าวข้างต้นเมื่อเราใช้ในการตรวจสอบ "ผลผลิต" ของการศึกษาปัจจุบันและโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จัดและดำเนินการโดยมุสลิมเอง เราจะพบว่า มีสิ่งสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องควรทบทวนและนำมาปรับปรุงแก้ไข นั่นคือ
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์อาลัมที่เคารพ ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยครับ ในเรื่องของการอ่าน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมเอง ผมพบว่าชาวพุทธเองก็ไม่ค่อยอ่านครับ ผมขออนุญาตวิเคระห์นะครับว่าที่เราไม่ค่อยอ่าน มันน่าจะเป็นปัญหาในระดับวัฒนธรรมเลยละมั้งครับ วัฒนธรรมของสังคมไทย เป็นสังคมที่ให้เชื่อฟังผู้มีความรู้ ครูบาอาจารย์ และผู้อาวุโส ดังนั้น การอ่าน จึงไม่น่ามีความจำเป็น เพราะอ่านไปก็เท่านั้น ยังไงๆ ก็ต้องรับฟังคำตอบที่ถูกต่้องจากครูบาอาจารย์หรือผู้อาวุโสอยู่ดี สู้ฟังความรู้ แล้วจำความรู้นั้นไปใช้เลยดีกว่า ที่จะอ่านเอง ซึ่งก็ไม่มีความแน่นอนว่าอ่านแล้วจะได้อะไร ครับ ก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวความคิดหนึ่งเท่านั้นนะครับ..ขอบคุณครับ