วันนี้ผมขออนุญาตนำข้อเขียนของครูแอน น้องผู้น่ารักคนหนึ่ง(น่ารักทุกคนเลย)ของโรงเรียนมาเล่าประสบการณ์ด้านการจัดการความรู้และการสร้า้งองค์กรแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนเรามาเล่าสู่เพื่อน ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เชื่อว่าจะสร้างประโยชน์แก่หน่วยงานโดยเฉพาะด้านการศึกษาบ้าง อาจกำลังศึกษาช่องทางในการนำการจัดการความรู้และการสร้า้งองค์กรแห่งการเรียนรู้ไปใช้ในสถาบันครับ
ครูแอน: รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนมาร่วมพูดคุยบอกเล่าประสบการณ์ ซึ่งดิฉันถือว่าการเล่าเรื่องราวแบบนี้เป็นการเรียนรู้อย่างนึง ขออนุญาตเรียนแทนตัวเองว่าแอนนะคะ ก็มีความกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะถ่ายทอดประสบการณืออกมายังไงให้พี่ๆ น้อง ๆ มองเห็นภาพได้ชัดมากที่สุด เพราะมันค่อนข้างเป็นเชิงวิชาการ เราเอาทฤษฎีมาสู่การปฏิบัติ แล้วอีกอย่างเรื่องมันก็เกิดมาหลายปีจนกลายมาเป็นวัฒนธรรมการทำงานของพวกเราไปแล้ว พอให้ย้อนกลับไปตอบว่าแล้วเริ่มต้นยังไงก็เลยอึ้งไปเหมือนกัน ก็เลยคิดว่าจะนำมาในส่วนที่ตัวเองลงมือปฏิบัติจริง ๆ ด้วยตัวเองและส่วนที่ตัวเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ มาเล่าให้คุณครูฟัง ขอเริ่มเลยนะคะ
ขอย้อนเวลาไปสัก 4 ปี ที่แล้ว ประมาณปลายปี 46 ช่วงที่เราเพิ่งรู้ว่าได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนในฝัน พอดีช่วงนั้น บ่อไร่มีการเปลี่ยนผู้บริหารพอดี ก็คือท่าน ผอ. คนปัจจุบันนี้ถ้าจะบอกว่าท่านเป็นผู้นำคำว่า LO มาให้พวกเรารู้จักเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ พวกเราพบท่านครั้งแรกในการประชุมประจำสัปดาห์ ท่านแจกหนังสือเล่นนึงให้เอาไปอ่าน เป็นหนังสือเชิงวิชาการสุด ๆ LO คะ ก็ไม่ได้อ่านหรอกคะ แต่คำว่า LO ก็ยังได้ยินอยู่เรื่อง ๆ เวลาประชุม ผอ. จะชอบพูดแล้วก็ค่อย ๆ มีศัพท์แปลก ๆ วินัยทั้ง 5 ประการ (การมีวิสัยทัศน์ร่วม, การทำงานเป็นทีม, การคิดเชิงระบบ, การใฝ่เรียนใฝ่รู้, .......................)
พูดบ่อย ๆ เข้าไม่พอก็เริ่มมีการให้ครูออกมาพูดเรื่อง LO บางก็ต้องอ่านโดยปริยาย เด็ก ๆ ก็เริ่มคุ้นชินคำนี้มากขึ้นเพราะ ผอ. เอาไปพูดหน้าเสาธงบ่อยครั้งก็ฟังมังไม่ฟังมั้งตามประสา แต่เด็ก ๆ ก็จะเริ่มเข้าใจคำว่าบุคคลแห่งการเรียนรู้มากขึ้น ประจวบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเริ่มต้นของการเรียนรู้การทำงานร่วมกับหน่วงงานเอกชนอย่าง ปตท.คุณครูทุกท่านก็ต้องปรับตัวปรับวิธีการทำงานกันอย่างทั่วหน้า วินัย 5 ประการก็เลยได้ยินบ่อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการทำงานเป็นทีม การมีวิสัยทัศน์ร่วม และใฝ่เรียนใฝ่รู้ ช่วงนั้นรู้สึกว่าสมองจะทำงานมากเป็นพิเศษเพราะต้องคิดอย่างเป็นระบบ ไม่นานก็คุ้นเคยกับคำเหล่านั้นขณะเดียวกันเราก็ลงมือทำตามวินัย 5 ประการแบบหลงกลให้ทำบาง เต็มใจทำบาง รู้ตัวบ้าง ที่เราไม่รู้ตัวบ้าง
แล้ววันหนึ่ง LO ปริศนาคาใจของแอนก็ถูกเฉลยเมื่อ อ. ประชุมโพธิกุล กับ อ. อนุกูล เยี่ยงพฤกษาวัลย์ มาอบรมการพัฒนาองค์กรเพื่อสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ ( Learning Organization) ให้พวกเรา จากการอบรมครั้งนั้นแอนรู้สึกว่า LO มันก็คือสิ่งที่เราปฏิบัติกันอยู่แล้วนี่น่า เช่น ทุกคนรู้เป้าหมายของโรงเรียนเหมือนกัน ทุกคนทำงานร่วมกันเป็นทีมอยู่แล้ว ทุกคนมีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบอยู่แล้ว จะเพิ่มขึ้นมาก็คือความสนใจใครรู้เรื่องต่าง ๆ ของครูแต่ละคน แล้วก็การรู้วิธีคิดของตัวเอง เท่านั้นที่ยังดูใหม่ ๆ เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมานิด พอดีกับกำหนดการประเมินรอบแรกก็แจ้งมาพอดี แอนไม่แน่ใจว่าเราประเมินโรงเรียนในฝันรอบแรกก่อนอบรม LO รึป่าว
ถัดจากนั้นไม่นานเราก็ได้ยินคำว่า Benchmarking เพิ่มขึ้นมาอีก มันก็ทำให้เรางง ๆ ๆๆ กันไปเล็กน้อยว่าคืออะไร ผอ. ก็เอาเกร็ดความรู้เรื่อง Benchmarking สั้นๆ มาให้อ่านอีกก่อนประชุม ก็พอรู้ขึ้นมาว่า อ๋อ! ที่แท้ก็คือการไปดูงานจากที่อื่นแล้วนำมาเปรียบเทียบกับการทำงานของเรา ปรับส่วนที่ดีให้เข้ากับบริบทของตัวเองแต่ไม่ใช่ลอกเค้าไปซะหมด ช่วงนั้นเราก็ Benchmarking ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ก็สลับสับเปลี่ยนกันไป แล้วก็ต้องมาเล่าให้คนที่ไม่ได้ไปฟังด้วย (แบบสั้น ๆ ก่อนประชุม) เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ พร้อมกับความเหนื่อยเพราะว่าเราจะต้องรับการประเมินโรงเรียนในฝันโดยท่านปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ที่หนักใจที่สุดก็คือเค้าให้เด็กดำเนินการทั้งหมด คิดว่าทุกท่านคงจำความรู้สึกนั้นได้ดีนะคะ ตอนที่เราฝึกเด็กนี้ละคะเราก็เริ่มค่อย ๆ เห็นประโยชน์ของ LO ขึ้นมาลาง ๆ เด็กต้องทำงานเป็นกลุ่ม เด็กต้องวางแผนการทำงาน เด็กต้องอ่านข้อมูลและเสาะแสวงหาข้อมูลให้มากที่สุด วินัยทั้ง 5 ประการก็เลยถูกลงสู่เด็กอย่างชัดเจน ใครรับหน้าที่อะไร? มีใครร่วมทีมบ้าง? ต้องรู้อะไรบ้าง? จะวางแผนนำเสนออย่างไร? เด็กเค้าก็ต้องพูดคุยกันภายใต้การดูแลของครูที่รับหน้าที่นั้น ๆ ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เป็นที่ประทับใจของทุกคน หลังการประเมินไปแค่วันเดียวคุณครูทุกคนก็ถูกเรียกไปช่วยกันสรุปการประเมิน ซึ่งรูปแบบการสรุปที่แปลกแตกต่างไปจากเดิม คือทุกคนมีโอกาสได้พูดในส่วนที่ตนรับผิดชอบทั้งทางดีและไม่ดีภายใต้เป้าหมายเดียวกันคือ เพื่อการพัฒนาที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ครั้งนี้จึงได้รู้ว่าการสรุปแบบนี้เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษแบบย่อ ๆ ว่า AAR การวิเคราะห์หลังการปฏิบัติงาน ในการสรุปครั้งนี้เรามีท่านศึกษานิเทศเป็นวิทยากรกระบวนการพาเราทำ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการทำ AAR ก็กลายเป็นวัฒนธรรมการทำงานของเราไปโดยปริยาย และขยายวงสู่เด็กนักเรียนทุกคนเมื่อเด็กเข้ารวมการอบบรมหรือร่วมงานของโรงเรียนงานใด ๆ ก็แล้วแต่ต้องทำการประเมินให้ครูหรือเจ้าของโครงการทุกครั้ง สำหรับดิฉันนำเข้าสู่บทเรียนด้วยในส่วนของการเรียนแบบโครงงานหลังจากที่นักเรียนนำเสนอผลงานเรียนร้อยแล้วทุกคนก็จะได้เสนอความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมในเรื่องนี้ ทั้งพูดที่ละคน และเขียน ก็แล้วแต่เวลาจะอำนวย
การประเมินจบแต่ดูเหมือนการเรียนรู้ของพวกเรายังไม่หยุดเพราะคำว่า KM ก็เข้ามาเยื่อนพวกเรา การจัดการความรู้เขาว่าอย่างนั้น แล้วมันคืออะไร.... ผอ. คนเดิมก็เอาบทความเกี่ยวกับการจัดการความรู้มาให้พวกเราอ่านก่อนเริ่มประชุมประจำสัปดาห์อีกเช่นเดิม ก็พอรู้ขึ้นมาบ้างแต่ก็งง จนกระทั่งการสัมมนาครั้งที่ 1 ของพวกเราที่ จ.กาญจนบุรีในวันที่ 27-28 ธ.ค. 48 ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันพวกเราแวะศึกษาดูงานและเทียบเคียง เรื่ององค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้ ณ สถานบันพัฒนาครู คณาจารย์ ที่วัดไร่ขิง ก็งงเหมือนเดิมแต่มีการพูดคุยกันในกลุ่มย่อย ๆ เรื่อง KMมากขึ้นกับเพื่อนครู ช่วงนั้นก็ยอมรับว่าเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้ากันพอสมควร มีความรู้สึกเหมือนรถยนต์ที่เครื่องจะไม่ไหวแล้วแต่คนขับก็ยังเร่งเครื่องอยู่ตลอดเวลา มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในกระบวนการทำงาน ผอ.ก็จะพูดเสมอว่าเราต้องบริหารการเปลี่ยนแปลงให้ได้มีการประชุมในระดับหัวหน้างานและผู้ปฏิบัติกันบ่อยมาก ๆ แล้วต้นปี 49 25 -26 ก.พ. ก็ได้เข้าอบรมการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) โดยอ.ประชุม และอ.อนุกูล จากวัดไร่ขิง ท่านเดิม เพื่อสร้างภาวะผู้นำและการเปลี่ยนแปลงแก่ครู การอบรมครั้งนั้นแอนประทับใจเพราะมีคำพูดบางที่โดนใจเราและจำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น “ เปลี่ยนความคิด ชีวิตจะเปลี่ยน ” และความคิดนั้นต้องเป็นความคิดเชิงบวก (Positive thinking) คิดบวก ๆ ก็เลยเป็นคำติดปากของพวกเราผู้ปฏิบัติเวลาจะให้กำลังใจกัน KM ก็ยังคงพูดถึงกันอยู่เริ่มมีคุณอำนวย คุณเอื้อ คุณกิจ, โมเดลปลาทูก็เริ่มคุ้นหูมากขึ้น จนกระทั้งวันที่ 25-26 ส.ค.49 ปีเศษ ๆ ที่ผ่านมาโชคดีของพวกเรามาก ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการสื่อสารพัฒนาการเรียนรู้ ให้กับสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) การอบรมครั้งนี้สนุกมากเพียงแค่2 วัน ทุกคนตื่นตัวและเริ่มเห็นแนวทางและเข้าใจ KM มากขึ้น ทฤษฎีพอรู้แล้วคงเหลือเพียงลงมือทำเท่านั้น พวกเราก็ไป Benchmarking กับโรงเรียนจิระศาสตร์ และโรงเรียนเพลินพัฒนา เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 49 ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนทั้งคู่ เป็นการศึกษาดูงานที่แปลกในความรู้สึกของแอนคือเราไม่ได้เพียงแค่ไปเดินดูบริเวณ บรรยากาศของโรงเรียนแล้วก็มานั่งฟังตัวแทนโรงเรียนมาบรรยายให้ฟัง คราวนี้เราต้องนำข้อดีของโรงเรียนเราไปร่วมแลกเปลี่ยนกับเขาด้วยเรียนว่าพูกันทีละคนเลยก็ว่าได้ เราแนะเขา เขาแนะนำเรา ส่วนโรงเรียนจิระศาสตร์ก็แปลกเหมือนกันนำพนักงานขับรถมาเล่าถึงการทำงานในหน้าที่ของเขาให้ฟัง เราได้แนวทางการดำเนินงานมาค่อนข้างชัดขึ้น พอกลับมาถึงโรงเรียนก็ตามทำเนียมมาเล่าให้เพื่อนครูฟัง บังเอิญหลังจากกลับจาก รร.เพลินไม่นานก็มีโรงเรียนขอเขามาศึกษาดูงานพวกเราก็เลยลองให้กระบวนการเยี่ยมชมแบบที่เราไปสัมผัสมาทดลองใช้ก็ดีค่ะ รับทราบความรู้สึกของครูทุกคนที่มาเยี่ยมชมโดยทำ AAR หลังจากนั้นมาก็ทำมาเรื่อย ๆ
ณ ปัจจุบันวิถีการทำงานของโรงเรียนเราก็เปลี่ยนไปพอสมควร พูดคุยกันมากขึ้น ถี่ขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ เช่นประชุมกลุ่มสาระ แต่หลังจากนั้นทางวิชาการก็จัดตารางให้ครูในกลุ่มสาระว่างตรงกันและจัดเป็นชั่วโมงประชุมกลุ่มสาระไปเลยอันนี้ดีมาก ๆ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ มากขึ้น ออกมาเล่าเรื่องราวประสบการณ์การเดินทางไปศึกษาดูงานให้เพื่อน ๆ ฟัง การจัดบรรยากาศแบบเปิดให้น้อง ๆ มาเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้พี่ ๆ ให้โอกาสน้อง ๆ เป็นผู้นำหรือเป็นผู้จัดการโครงการ และตอนนี้กำลังดำเนินการจัดมุมค้นคว้าสำหรับครูโดยเฉพาะ จะทำงานอะไร หน้าที่ไหนก้แล้วแต่จะมาวางแผนร่วมกันตลอด ช่องว่างระหว่างน้องกับพี่ในการแสดงความคิดเห็นน้อยลง แต่สิ่งสำคัญทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันควรมีการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เพื่อเป็นฐานข้อมูลเสมอเพื่อใช้ในอนาคต
และนี้ก็คือทั้งหมดที่แอนพอประมวลได้ตั้งแต่เริ่มได้ยินคำว่า LO ( 2546 – ปัจจุบัน ) ขอบคุณค่ะ
ไม่มีความเห็น