Wanpenเขียนเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2549 09:40 น. ()
แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2555 10:07 น. ()
“เจ้าเป็น ลูกเลิศ ของพ่อแม่ ก็จริงแหล่ แต่ชาติ สำคัญกว่า
ทางที่ถูก เจ้าเป็นลูก อยุธยา ก็เหนือกว่า พ่อแม่ มาแต่ไร
เจ้าอาจเสีย พ่อแม่ ในวันหน้า แต่จะเสีย อยุธยา หาได้ไม่
เพระฉะนั้น จงรู้จัก รักเมืองไทย รักษาไว้ ให้อยู่ คู่ฟ้าดิน”
จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี) |
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ |
10 กุมภาพันธ์ 2549
15:43 น. |
มหานครลอนดอน,
9 กุมภาพันธ์ 2549
กราบเรียน ฯพณฯ
นายกรัฐมนตรี
ผมเสียดายและเสียใจอย่างสุดซึ้งที่รัฐบาลเสียงข้างมากที่ล้นหลามในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ซึ่งคงจะหาไม่ได้อีกแล้วในอนาคต กำลังจะต้องอับปางลง
นอกจากความถูกผิดของเรื่องต่างๆในตัวของมันเอง
สาเหตุของความเสียหายที่บานปลายขึ้น อาจจะเป็นเพราะกรรม 2
ตัวด้วยกันคือ
หนึ่ง
ท่านนายกฯมีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่เห็นใครในสายตาและไม่ฟังใคร
อาจจะหลงคิดว่าตนตั้งใจทำความดีและได้ทำความดียิ่งใหญ่แล้ว
เหนือใครๆทั้งหมดทั้งสิ้นในแผ่นดิน ใครไม่เห็นด้วยล้วนแต่โง่เง่า
มองโลกด้านเดียว
สอง
บุคคลที่แวดล้อมรับใช้ใกล้ชิดท่านนายกฯ อาจ “ป้อยอ สอพลอพลอย
ทุกเช้าค่ำ”
ไม่กล้าหรือไม่รู้จักท้วงติงให้ความจริงต่อนายอย่างตรงไปตรงมา
ซ้ำยังจองหองพองขน ยกตนข่มท่าน ใครวิพากษ์วิจารณ์นายอย่างไรก็มิได้
หาว่าเป็นพวกฝ่ายค้านที่จ้องจะล้มรัฐบาลอยู่ร่ำไป
ก่อนออกจากดอนเมืองตอนเที่ยงคืนวันที่
5 มีลูกศิษย์โทรมาอ่าน นสพ.คมชัดลึกให้ฟังว่า
ผมสัมภาษณ์ขับไล่ท่านนายกฯ
เพราะท่านนายกฯได้กลายเป็นปัญหาแทนที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ
ซึ่งก็สอดคล้องกับกระแสที่เรียกร้องอยู่ขณะนี้
แต่ความจริงผมมิได้ให้สัมภาษณ์
แต่ไปพูดให้สมาชิกสถาบันวิถีทรรศน์และศูนย์นวัตกรรม ม.รังสิตฟัง
ผมเขียนหัวข้อคำบรรยายแจกเหมือนกับทุกครั้ง
เพื่อจะช่วยให้ผู้สื่อข่าวนำไปรายงานได้อย่างถูกต้อง
กลัวกลอนจะพาไปตามอุปาทาน
หัวข้อที่พูดคือ
“ทางออกของชาติในยามวิกฤต” มีอยู่ 15 หัวข้อย่อย
ที่เป็นหัวใจขีดเส้นใต้คือข้อ 12 เกี่ยวกับ Best Case
Scenarioหรือทางออกที่ดีที่สุด กับข้อ 13 เชื่อมโยงกัน คือ
ในหลวงหรือทักษิณจะเป็นผู้ตัดสิน มีข้อความเด่นว่า
โอกาสที่ดีที่สุดที่ทักษิณจะต้องฉกฉวยก็คือขอพึ่งพระบารมี
ขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชประชาสมาสัย
บรรดานักข่าวเป็นเด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจราชประชาสมาสัย
ผมจึงยกตัวอย่างทางออกที่ดีที่สุดแบบที่หนึ่งมาอธิบายให้ฟัง คือ
นายกรัฐมนตรีลาออก-ตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน-นายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียวคือมาตรา
201
เปิดโอกาสให้ตั้งนายกรัฐมนตรีราชประชาสมาสัยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอีก-นายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีมหากษัตริย์เป็นประมุข-เลือกตั้งทั่วไป
ผมจะอธิบายเพิ่มเติมในท้ายจดหมาย
ขอพูดถึงเรื่องที่ท่านนายกฯอาจจะไม่อยากฟังที่สุดเสียก่อน
ก็ด้วยความหลง 2
ประการที่กล่าวมา ยังผลให้ท่านนายกฯบริหารประเทศผิดพลาด
หนีออกจากจารีตประเพณีและหลักกฎหมายของแผ่นดิน จนท่านผู้รู้
ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีฐานันดรและตำแหน่งสูงเป็นที่เคารพของบ้านเมืองออกมาประสานเป็นเสียงเดียวกันโดยมิได้นัดหมายว่า
หนึ่ง
ท่านนายกฯไม่เข้าใจหรืออาจจะจงใจทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
สำแดงความประมาทขาดความสำรวมเป็นทาสวจีกรรมที่จาบจ้วงล่วงเกินในหลวง
ต่างกรรมต่างวาระ ที่สาหัสมากก็คือคำกล่าวว่า “ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี
ผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” ทั้งๆที่มีพวกออกมาติติงทั่วเมือง
อีกไม่นานนายกฯยังบังอาจพูดอีกว่า มีทางเดียวเท่านั้นที่ท่านจะลาออก
ก็คือขอให้ในหลวงมากระซิบ
คำพูดครั้งหลังนี้คนไทยรับไม่ได้
เพราะมีนัยลึกซึ้งหลายประการ ไม่ว่าจะตีความทางใดก็เสียหายทั้งนั้น
แสดงว่านายกฯไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
แสร้งพูดจาบจ้วงเพื่อท้าทายในหลวงหรือให้พวกไร้การศึกษาบูชานายกฯเข้าใจว่า
ในหลวงยังสนับสนุนค้ำจุนนายกฯอยู่
ด้วยพระองค์ท่านยึดถือหลักประชาธิปไตย
ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงตามพระราชหฤทัยได้
ซ้ำนายกฯยังปล่อยให้สถานีทีวีแพร่คำพูดดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แทนที่จะรีบไปกราบพระบาทขอพระราชทานอภัย
นอกจากนั้นนายกฯยังเฉยเมยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
เมื่อมีพระราชดำรัสในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ว่า
คนที่พยักหน้าน่ะผิดที่มิได้แก้ไข คนที่ทำอะไรไม่อยู่กะร่องกะรอยนี่
ถ้าหากลาออกไป ก็ไม่มีความผิด ที่สำคัญยิ่งพระองค์กล่าวว่า
ผู้ที่นั่งแถวหน้า รู้ว่าเป็นใคร ที่ตำหนิข้าพเจ้า
บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวผิด พระเจ้าอยู่หัวทำไม่ดี
ผมมิได้ลอกคำต่อคำเพราะอยู่ในต่างประเทศ
แต่รับรองว่าพลความไม่ผิด
เพราะผมก็เหมือนกับคนไทยทั่วๆไปที่คิดว่าพระองค์ท่านตรัสถึงเพียงนี้
สมควรที่นายกฯจะรีบแก้ไขและคลานเข้าไปขอพระบรมราชวินิจฉัย
สอง
ท่านนายกฯทำลายรัฐธรรมนูญ
โดยกระทำการอุกอาจไม่คำนึงถึงหลักกฏหมายและจริยธรรม
ก่อให้เกิดคอร์รัปชั่นคดโกงอย่างใหญ่โตกว้างขวาง
ครอบงำสิทธิเสรีภาพของสื่อ รัฐสภาและองค์กรอิสระจนไม่อาจตรวจสอบ
ความหลงใหลในภาวะผู้นำแบบซีอีโอในระบอบประธานาธิบดี
ทำให้ท่านายกฯรวบอำนาจเสมือนหนึ่งรัฐบาลเป็นบริษัทส่วนตัว
ครอบงำทำลายคุณค่าผู้ร่วมงานตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรีลงมาถึงตำรวจทหารศาลข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกระดับ
แถมระบาดผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปถึงรากหญ้านายกอบต.
ทำให้บรรดาซีอีโอโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนายกฯต่างก็สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตนเอง
ทำลายมูลค่าเพิ่มของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเพื่อนร่วมงาน
ขัดกับหลักการประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมเป็นอย่างยิ่ง
จนกระทั่งคุณเสนาะออกปากว่า นี่เป็นระบบทาส ขังผู้แทนไว้ในคุก
ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ผมจึงอธิบายต่อง่ายๆว่า
ระบบนี้ถ้าเป็นระดับพรรคก็เรียกว่า
“รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” ระดับรัฐบาลเป็น
“รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสนายก”
สอดค้องและส่งเสริมระบบบริหารที่ทำลายประเทศไทยมานานคือระบบ
“รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง”
ซึ่งบันดาลให้ต่างจังหวัดของเรากลายเป็น”สังคมชั่วคราว”ไปหมด
มีเจ้านายซีอีโอย้ายไปมาปกครองเหมือนลัทธิเมืองขึ้น
จนประชาชนตกอยู่ใต้สามลัทธิอุบาทว์คือ “ลัทธิตามอย่าง ตามน้ำ ตามพึ่ง”
ซึ่งท่านนายกฯเป็นเอกอัครุปถัมภก
ผมชื่นชมและขอบคุณท่านนายกฯ
ที่แสดงให้โลกเห็นว่าสังคมไทยมีวุฒิภาวะ ไม่ฆ่ากันตายในคืนวันที่ 4
กุมภา ส่วนการที่ท่านนายกฯจะตัดสินใจลาออกตามคำเรียกร้องหรือไม่
กรุณาอย่าไปอ้างในหลวง หรือแม้แต่ 19 ล้านเสียงก็ไม่สมควรอ้าง
เพราะจะเป็นการให้การศึกษาผิดๆแก่ประชาชน ผิดทั้งตัวอย่างและทั้งทฤษฎี
เพราะว่าแท้จริงนั้น
การเลือกตั้งเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือพิธีกรรมอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย
เพื่อยืนยันความชอบธรรมอย่างที่ท่านนายกฯอ้างว่า มาตามกติกา
แต่ความชอบธรรมดังกล่าวเป็นแค่กึ่งเดียว
จะต้องมาต่อเติมให้ครบอีกกึ่งหนึ่งด้วยการอยู่ตามกติกาอีกด้วย
ข้อหลังนี้เป็นเรื่องที่สังคมไทยตัดสินว่าท่านนายกฯสอบตก
ไร้ความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป
องค์ประกอบของสังคมไทยที่ผมอ้างมิใช่คนพวกเดียวจำนวนหยิบมือเดียวอย่างที่สื่อของรัฐบิดเบือน
แต่เป็นคนจำนวนมากต่างอาชีพต่างฐานันดร มิใช่มีแต่นักวิชาการ
หากมีศิลปินแห่งชาติ อดีตเอกอัครราชทูต ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ
วุฒิสมาชิก อดีตรัฐมนตรีว่าการ ศูนย์นิสิตนักศึกษา
ที่ลุกฮือขึ้นพร้อมกันโดยมิได้มีการจัดตั้ง
และนับวันก็นับจะขยายตัวใหญ่โตขึ้น
จนท่านนายกฯจะไม่สามารถบริหารราชการโดยราบรื่นได้
การอ้างเสียง 19
ล้านนั้นเป็นการบิดเบือนทฤษฎีตัวแทนในทางการเมือง
ซึ่งตัวการมีอำนาจเปลี่ยนได้ทุกเมื่อเมื่อหมดความไว้วางใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบเลือกตั้งโดยตรงแบบประธานาธิบดีและผู้ว่าราชการมลรัฐของอเมริกา
เมื่อเร็วๆนี้ผู้เลือกตั้งก็ลงคะแนนเสียงปลดหรือ recall
ผู้ว่าการรัฐคาลิฟอร์ เนีย โดยไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ
ประธานาธิบดีนิกสันก็ลาออกไปด้วยความบีบคั้นของประชามติด้วยเรื่องที่คนไทยเห็นว่าจิ๊บจ๊อย
คือปิดบังความจริงและขัดขวางการสอบสวนคดีแอบเข้าไปจารกรรมสำนักงานหาเสียงของพรรคตรงกันข้าม
ยิ่งเป็นระบบรัฐสภาก็ยิ่งอ้างไม่ได้ว่าตนถูกเลือกมาโดยตรง
ตัวอย่างเช่น แธตเชอร์ ผู้นำพรรคเข้าหลักชัยล้นหลามถึง 3
สมัยถูกลูกพรรคปลดออกกลางเทอมเพราะประชาชนชักมีปฏิกิริยาไม่ดี
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นนับไม่ถ้วนที่ประสบชะตากรรมเช่นนี้
ปัญหาต่อไปคือมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้นำประเทศ
ซึ่งถือกันว่าต้องสูงกว่าคนธรรมดาหรือแม้กระทั่งนักบุญ
เพราะผู้นำสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่า จึงมีคำพังเพยว่า
ผู้ปกครองไม่ดีเหมือนมีห่าลงกิน
บุคคลธรรมดากระทำผิดท่านให้สันนิษฐานว่าบริสุทธิจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิด
นักบุญท่านให้สันนิษฐานว่าผิดจนกว่าพิสูจน์ได้ว่าบริสุทธิ์
สำหรับผู้ปกครองเพียงทำตนให้ต้องสงสัย ท่านให้ถือว่าผิด
ต้องเอาตัวไปลงโทษ
ผมไม่อยากกล่าวย้ำถึงความผิดต่างๆที่มีผู้กล่าวหาท่านนายกฯ
จะพูดถึงเรื่องซุกหุ้นเท่านั้น ในกรณีซุกหุ้นครั้งที่ 1
ถ้าตุลาการรัฐธรรมนูญมีมาตรฐาน ท่านนายกฯจะไม่มีทางรอด
นอกจากจะอ้างทฤษฎีสัญญาประชาคม
เพราะความผิดของท่านายกฯนั้นเป็นสิ่งที่กฎหมายห้าม ตามหลัก Mala
Prohibita คือห้ามแล้วยังกระทำ ต้องถือว่าผิด
โดยไม่ต้องสืบเจตนาหรือตีความใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น
เรื่องบริษัทแอมเปิลริชที่ท่านนายกฯไปแอบตั้งไว้ต่างประเทศ
และถูกวุฒิสมาชิกแก้วสรร อติโพธิ์และคณะร้องเรียนว่า
ท่านนายกฯกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 209 นั้น ผมก็เห็นว่าเข้าข่าย Mala
Prohibita 100% ท่านนายกฯไม่มีทางรอด
ที่เหลืออยู่ก็คือความสำนึกและมโนธรรมของท่านนายกฯเท่านั้น
หากท่านเลือกทางออกที่ผมเสนอว่าดีที่สุด
ก็คงจะดีที่สุดสำหรับท่านนายกฯและประเทศชาติด้วย
สถาบันนายกฯเป็นสถาบันทรงเกียรติ ผมไม่อยากเห็นใครถูกขับอย่างกุ๋ย
ผมอยากเห็นท่านนายกฯรักษาสถาบันและออกไปอย่างรัฐบุรุษเช่นเดียวกับพลเอกเกรียงศักดิ์
และพลเอกชวลิต
ผมขออธิบาย Best Case
Scenario คือขั้นที่ 1 นายกฯลาออก และ 2 ตั้งนายกฯใหม่
ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
อย่างน้อยก็ยังจะได้บุคคลที่เคารพนับถือท่านนายกฯ
ไม่ทำอะไรที่รุนแรงแบบน้ำลดตอผุด เปิดทางให้ท่านนายกฯเว้นวรรคอย่างสงบ
เมื่อนายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 201
เปิดทางให้บุคคลทั้งนอกและในสภา
เราก็อาจจะใช้ขบวนการราชประชาสมาสัยเลือกนายกฯที่ไม่ต้องอ้างว่าเป็นนายกฯพระราชทาน
แต่เป็นบุคคลที่ทุกฝ่ายรวมทั้งในหลวงยอมรับ
จะได้เข้ามาบริหารและแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง
โดยการมีส่วนร่วมจากพระมหากรุณา รัฐสภาและบุคคลทุกหมู่เหล่า
โดยไม่ต้องทำลายตัวหนังสือที่เป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
เพียงแต่ใช้วิธีเพิ่มเติมที่เรียกว่า extra constutional
ตามจารีตประเพณืและไม่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
เสร็จแล้วจะได้มีการเลือกตั้งทั่วไปและเดินหน้าปฏิรูปการเมืองประเทศชาติอย่างจริงจังเสียที
ทำอย่างนี้
สังคมไทยจะได้แสดงวุฒิภาวะ สมกับเป็นประเทศเก่าแก่
มีพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างราบรื่นต่อเนื่อง
ไม่มีอะไรเสียหายร้ายแรง
ท่านนายกฯครับ
เกือบสามสิบปีมาแล้ว ผมนั่งอยู่กับอาจารย์ป๋วย
เมื่อท่านเขียนจดหมายจากนายเข้ม เย็นยิ่ง ถึงจอมพลถนอม
ผมเสียดายทีผู้นำและสังคมไทยมีอัตตาเกินไปที่จะฟังคำของอาจารย์
หาไม่เราอาจจะไม่มี 14 ตุลาคม
และอาจจะพัฒนาการเมืองได้ราบรื่นกว่านี้
บัดนี้
โอกาสเป็นของท่านนายกฯแล้ว
วันนี้ผมมานั่งเขียนถึงท่านนายกฯอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติอังกฤษ
อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
มีนักนักคิดนักเขียนชั้นนำของโลกทุกยุคทุกสมัยมานั่งฝันที่จะสร้างสังคมในอุดมคติที่นี่
ผมจึงเขียนถึงท่านนายกฯด้วยความตั้งใจและภูมิใจยิ่งที่เกิดมาเป็นคนไทย
ผมอยากจะเล่าส่งท้ายว่าเดือนที่แล้ว
เพื่อนเก่าที่ไม่ได้คุยกันมาเกือบ 50 ปีโทรมาหา
เธอเป็นปัญญาชนชั้นนำของจุฬาฯ แตกฉานทั้งภาษาไทย อังกฤษ
ฝรั่งเศสและเยอรมัน เธอไปฟังและสนับสนุนสนธิทุกรายการ
ทั้งๆที่สามีและลูกหลานไม่ชอบเลย
แต่เธอเห็นว่าเป็นหน้าที่อันศักดิสิทธิ
เธอกลั้นสะอื้นอ่านกลอนของพันเอกมรว.เล็ก งอนรถ ให้ผมฟัง 2 บท
ผมขอเปลี่ยนวรรคที่ 1
และขอมอบให้ท่านนายกฯและพี่น้องชาวไทยทุกคน
“เจ้าเป็น
ลูกเลิศ ของพ่อแม่ ก็จริงแหล่ แต่ชาติ สำคัญกว่า
ทางที่ถูก เจ้าเป็นลูก
อยุธยา ก็เหนือกว่า พ่อแม่ มาแต่ไร
เจ้าอาจเสีย พ่อแม่
ในวันหน้า แต่จะเสีย อยุธยา หาได้ไม่
เพระฉะนั้น จงรู้จัก
รักเมืองไทย รักษาไว้ ให้อยู่
คู่ฟ้าดิน”
ปราโมทย์
นาครทรรพ
|
|
ความเห็น
ยังไม่มีความเห็น