ใกล้ถึงงานวันเอดส์


        ทุกปีช่วงปลายพฤศจิกายน หรือ ต้นธันวาคม ที่บำราศฯจะมีการจัดงานรณรงค์World AIDS DAY เพื่อเป็นการส่งเสริมและให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ให้ได้มีกิจกรรมร่วมสนุกกัน อาทิ การตอบปัญหา การร้องเพลง หรือ ดูโชว์การแสดง 

    เป็นงานระดับโรงพยาบาลที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักแต่เราก็พบกับความประทับใจในทุกปีว่า มีผู้ใหญ่ หรือ ศิลปิน คนที่มีชื่อเสียง หลายคนได้ให้เกียรติมาร่วมงาน พบปะและพูดให้ความเห็นและกำลังใจแก่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่บุคลากรของโรงพยาบาล...

      งบประมาณที่ใช้แต่ละปีได้มาจากทางกรมคร.บ้างและเงินบำรุงของสถาบันผสมผสานกับเงินบริจาค/ที่หาทุนมาบ้าง.

..แม้จะโดนตัดงบประมาณลงไปเรื่อยๆทุกปีแต่เราก็ยังจัดทำกัน..ต่อไปจนกว่าจะไม่มีคนไข้มาร่วมงาน ซึ่งในปีนี้จะจัดงานในวันศุกร์ที่30พฤศจิกายนนี้ค่ะ

      ปีนี้คำขวัญรณรงค์ยังคงใช้ต่อเนื่องเหมือนกับปีก่อนที่ว่าStop AIDS Keep the Promise"เอดส์หยุดลงได้ ร่วมใจกันรักษาสัญญา" สัญญานี้เป็นของใครและหมายถึงอะไร เจ้าน้องกุ้งสาวน้อยบ้านแบ่งบุญแอบกระซิบถาม....ฉันก็บอก(แบบมั่วๆ)ว่า เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลและป้องกันไม่ให้โรคเอดส์ระบาดเพิ่มขึ้น...เจ้ากุ้งพยักหน้าเหมือนรับรู้ก่อนปล่อยมุขย้อนกลับเอากับฉันและพี่หน่อยว่า"แล้วอย่างเด็กๆกับคนโสดนี่ก็อยู่อย่างนี้แหละ อย่าไปคิดมีคู่เลย..เดี๋ยวลำบาก"....ฟังเจ้าหนูกุ้งแล้วก็นึกขำปนฉุนในความแก่แดดแก่ลมของเจ้าหล่อน...แต่พอผ่านมาระยะหนึ่งเอาความคิดแบบเจ้ากุ้งมาคิดซ้ำพบว่าหากเรามองสัญญาในการหยุดเอดส์อยู่แต่ในเชิงการป้องกันการส่งต่อ(แนวคิดการควบคุมโรค)แต่เราไม่ค่อยสนใจในการเชื่อมต่อ-เชื่อมโยงคนทั้งที่ติดและไม่ติดเข้าหากันให้มากขึ้น...โรคเอดส์ใจหรือภูมิคุ้มกันความบกพร่องทางจิตก็ยังคงระบาดหนักอยู่เหมือนเดิม...

     .จากที่อยู่กับผู้ป่วยมาหลายปีได้ยินคนไข้(ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อ)และญาติ(ของผู้ป่วยติดเชื้อ)พูดให้ได้ยินหลายครั้งว่าเดี๋ยวนี้การรณรงค์ให้คนทั่วไปรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ไม่ค่อยมีเหมือนอย่างแต่ก่อน...เด็กสมัยนี้จึงไม่ค่อยกลัวเอดส์  ชอบไปมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันเองมากขึ้น....สะท้อนให้เห็นว่าเอดส์เป็นปัญหานานาจิตตังและเป็นปัญหาสังคมอันยืดเยื้อทับถมมาตั้งแต่สมัยอีวาถูกงูหลอกให้กินผลไม้ในสวนของพระเจ้าแล้ว...เด็กรุ่นใหม่ยุคนี้โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงคือเหยื่อหรือผลิตผลแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามแนวทุนนิยมที่จะต้องเป็นไปตามกระแสนิยม...การฝืนหรือทวนกระแสอาจทำให้เพื่อนไม่คบ หรือ กลายเป็นคนเก็บกด ไม่กล้าแสดงออก 

    ฉันเองก็สงสัยในบางครั้งว่าพ่อแม่ยุคนี้ยอมเสียตังค์แพงๆส่งลูกเข้าอนุบาลเรียนพิเศษให้ได้ฝึกหัดกล้าแสดงทักษะความสามารถพิเศษต่างๆตั้งแต่ยังเล็กๆพูดไม่ชัดก็มีแต่เมื่อเด็กเริ่มโตพ่อแม่และผู้ใหญ่กลับกลับลำสอนสั่งใหม่ให้ลูกต้องรักนวลสงวนตัว อย่ารีบไปชิงสุกก่อนห่าม ให้รู้จักเก็บความอยากและความต้องการเอาไว้...ในเวลาลูกเป็นวัยรุ่นไปแล้วนั้นเพื่อนลูกมีความสำคัญมากกว่าคำพูดของพ่อแม่ไปแล้ว...พวกที่มีลูกได้แต่ท่องคาถาทำใจว่าเลี้ยงลูกได้แต่ตัว..สุดแต่เวรกรรม...คำถามก็คือเราสามารถหยุดวงจรอุบาทว์ที่มอมเมาคนในสังคม หรือเด็กๆให้หลุดออกจากวัฏฏจักร์แห่งการบริโภคนิยมลงไปได้บ้างอย่างไร   สัญญาที่จะหยุดเอดส์นี้จึงเป็นประเด็นที่ใหญ่และกว้างกว่าเฉพาะในวงการแพทย์ที่รับรู้และตระหนักถึงบทบาทของตนในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนของการจัดการปัญหา

หมายเลขบันทึก: 148528เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2007 23:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 01:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท