นโยบายระบบประกันสุขภาพ สิ่งที่นักการเมืองควรให้ข้อมูล
ตอนนี้เลือกตั้งไทย กับเลือกตั้งสหรัฐกำลังเเสดงนโยบาย เเสดงวิสัยทัศน์กันอย่างเข้มข้น ขณะนี้ผู้สมัครเป็นตัวเเทนพรรคต่างๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เสนอนโยบายเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ เเละประกันสังคมออกมาหลายชุด มีการกำหนดเเผนออกมาอย่างเป็นรูปธรรม เเละมีนักวิชาการด้านสาธารณสุข เเละด้านอื่นๆ รวมทั้งประชาชนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเหล่านั้นอย่างกว้างขวาง ข้อดีอย่างหนึ่งของการเสนอนโยบายต่อสาธารณะในการปราศรัยเเต่ละครั้งก็คือ ประชาชนได้ทราบนโยบาย รวมทั้งข้อดีข้อเสีย จากการวิพากษ์วิจารณ์ เเต่เนิ่นๆ นักการเมืองเองก็ได้หยั่งกระเเสความต้องการจากการทำโพลเเละสำรวจความคิดเห็นไปด้วย ส่วนกลุ่มผลประโยชน์ก็สามารถยื่นข้อเสนอหรือข้อเเนะนำด้านนโยบายให้นักการเมืองพิจารณา
กระบวนการต่อรองปรับเปลี่ยนเเละเเละเปลี่ยน เเม้จะมีการวิจารณ์เเละโจมตีนโยบายของเเต่ละฝ่ายกันเเรงๆ เเต่ก็ทำให้เกิดความตื่นตัวในด้านการคิดนโยบายใหม่ๆ ด้านหลักประกันสุขภาพ เพราะปัจจุบัน เป็ฯที่ทราบกันว่า ต้นทุนในการรักษาพยาบาลสูงมาก ตั้งเเต่การใช้เงินทุนจำนวนมาก เพื่อให้การศึกษาเเพทย์เเละบุคลากรสาธารณสุข ค่าเวชภัณฑ์เเละอุปกรณ์การเเพทย์ก็สูงขึ้นทุกวัน (การเมืองเรื่องยาเเพงนั้นเป็นประเด็นที่ต้องพูดกันยาว เเละมีหนังสือที่น่าอ่านหลายเล่ม ซึ่งอาจจะกล่าวถึงต่อไป) การเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคสมัยใหม่ เช่น อุบัติเหตุ โรคหัวใจ มะเร็ง ความดัน เบาหวาน เเละโรคคนเเก่ เพราะผู้สูงอายุมีอายุยืนขึ้น เเต่ไม่มีรายได้มั่นคงเท่ากับวัยทำงาน จึงเป็นภาระอย่างากสำหรับผู้ป่วยเเละครอบครัว ดังนั้นนโยบายด้านสุขภาพจึงเป็นนโยบายที่จำเป็น เเละเป็นปัจจัยที่ผู้ลงคะเเนนเสียงเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา
เเม้กระทั่งคนที่ไม่มีสิทธิลงคะเเนน เช่น เเรงงานต่างด้าวชาวเม็กซิโก เเละคนต่างด้้าวอื่นๆ รวมทั้งกลุ่มรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของเเรงงานต่างด้าว ก็จับตามองนโยบายหลักประกันสุขภาพที่ตัวเเทนผู้สมัครของเเต่ละพรรคเเถลงเช่นกัน เพราะนโยบายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพวกเขาด้วย
ในประเทศไทยเเม้จะพูดถึงสุขภาพ เเต่ก็แถลงกันอย่างทำการบ้านน้อย เเละมักจะเน้นว่าจะทำอะไร มากกว่าทำอย่างไร ทำเเล้วได้อะไร ผู้เลือกตั้งจึงตัดสินใจไม่ค่อยได้ ว่านโยบายของใครดีกว่าของใคร ใครจะทำให้เราอยู่ดีมีสุข
ไม่มีความเห็น