หน้าแรก
สมาชิก
บุญยิ่ง ประทุม
สมุด
บาว นาคร
กระแสแห่งการพัฒนา
บุญยิ่ง ประทุม
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
กระแสแห่งการพัฒนา
พัฒนาชุมชน
เกลียวคลื่นแห่งการพัฒนา
บาว
_
นาคร
แนวทางการพัฒนาประเทศไทยที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากนับย้อนไป ตั้งแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นั้น มีทั้งหมด 10 ฉบับแล้ว แต่การพัฒนาประเทศยังไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ได้วางแผนพัฒนาประเทศไว้เลย เพราะอะไรหรือ? หรือว่า การพัฒนาประเทศที่ผ่านมา เป็นเพียงการทำตามกระแสของการพัฒนาจากต่างประเทศ ซึ่งหากจะรู้ถึงพัฒนาการของกระบวนการพัฒนาประเทศที่ผ่านมาแล้วนั้น ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ล้วนแต่ตามกระแสของต่างประเทศทั้งนั้น เปรียบเสมือนกับคลื่นแห่งการพัฒนากระทบชายฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า ซึ่งพัฒนาการพัฒนามีนักคิดหลายๆ สำนักได้ให้ความหมายและความสำคัญ ซึ่งสรุปได้จากแนวความคิดของแต่ละคน เช่น แนวคิดทฤษฎี
“
คลื่นลูกที่สาม
”
โดย อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ (
Alvin Toffler
) ผู้เขียนหนังสือ
The Third Wave
“
คลื่นลูกที่สาม
”
และถือว่าเป็นนักพยากรณ์
“
อนาคต
”
ทฤษฎีคลื่นลูกที่สาม ตามแนวคิดของ อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ มองการพัฒนาว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงอารยธรรมของมนุษย์ ซึ่งวิวัฒนาการไปด้วยพลังคลื่นสามลูกด้วยกัน ซึ่งคลื่นแต่ละลูกจะทำให้ระบบสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ของมนุษย์โดยรวมเปลี่ยนไป
คลื่นลูกแรก หรือคลื่นลูกที่หนึ่ง หมายถึง สังคมเกษตรกรรม ซึ่งเริ่มขึ้นมาเมื่อประมาณเกือบหมื่นปีมาแล้ว เมื่อมนุษย์คนแรก ตัดสินใจเพาะปลูกพืชอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เป็นที่เป็นทาง ก่อเกิดไร่นาขึ้นมา จนค่อยๆ คลี่คลายขยายตัวมาเป็นระบบสังคมเกษตรกรรม ในเวลาประมาณ 5,000
–
6,000 ปีมาแล้ว
คลื่นลูกที่หนึ่งของสังคมเกษตรกรรม ทำให้มนุษยชาติเลิกเร่ร่อน หันมาตั้งหลักรวมตัวกันเป็นครั้งแรก เกิดระบบการปกครองที่เชิดชูหัวหน้า
แบ่งเป็นพวกเป็นเหล่าแล้วพัฒนาเป็นระบบกษัตริย์
มีระบบศักดินา
มีภาษาและมีวัฒนธรรม
มั่นคงเป็นปึกแผ่น
ลักษณะเด่นที่เป็นปัจจัยชี้ขาดของสังคมเกษตรกรรมคือความมั่นคั่งอยู่ที่
“
ที่ดิน
”
ใครมีที่ดินมากก็มั่งคั่งมากและคลื่นลูกที่หนึ่งที่อยู่ยงคงกระพันมาประมาณ
4,500
กว่าปีแล้ว
คลื่นลูกที่สองก็ไล่มาถึง
“
การปฏิวัติอุตสาหกรรม
”
คลื่นลูกที่สองหมายถึง
สังคมอุตสาหกรรม
นั่นก็คือ
เมื่อสังคมเกษตรกรรมได้รับการเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการผลิต
ขึ้นอยู่กับเครื่องจักรและการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ผลิตสินค้าแบบเดียวกันมากๆ เพื่อความประหยัดและลดต้นทุนลงมาให้มากที่สุด
ซึ่งได้เฟื่องฟูขึ้นมาในยุโรปเมื่อ
300
ปีเศษ
และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบการเมือง
เศรษฐกิจและวิถีชีวิตของยุโรป ก่อนจะแผ่ขยายไปทั่วโลก
คลื่นลูกที่สองนี้ทำให้เกิดลัทธิการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตกทั้งหลายเพื่อการค้นหาวัตถุดิบ
และผลจากคลื่นลูกที่สองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตกลายมาเป็นการที่คนต้องทำงานกันตามสบายมาเป็นการทำงานที่ต้องตื่นพร้อมๆ กันเพื่อเข้าทำงาน
พักงาน
เลิกงาน
กลับบ้านพร้อมเพรียงกัน
เปลี่ยนวิถีระบบการจัดจำหน่าย
เงินตรา
ใบหุ้น
ตลาดหุ้นและระบบประชาธิปไตย
ทอฟฟ์เลอร์
ได้พยากรณ์ว่า
เมื่อสังคม
“
พัฒนา
”
ก้าวมาถึงการเกิดคอมพิวเตอร์ ดาวเทียม
และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการสื่อสารมากขึ้นสังคมก็ก้าวมาถึง
“
คลื่นลูกที่สาม
”
ซึ่งเกิดขึ้นมาประมาณ
50
ปีเศษๆ มาแล้ว
คลื่นลูกที่สามหมายถึง
การพัฒนามาถึงอารยธรรมมนุษย์แห่งสังคมแห่งข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ
โดยจุดกำเนิดอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มก่อกำเนิดขึ้นในยุคคลื่นลูกที่สามได้พัฒนามาสู่สังคมความมั่งคั่งของสังคมอุตสาหกรรมในสังคมคลื่นลูกที่สอง
เปลี่ยนมาเป็น
“
ความรู้
”
หรือ
“
ข้อมูลข่าวสาร
”
เป็นหลักตามที่บางคนเคยพูดว่าใครสามารถคลุมข่าวสารข้อมูลคนนั้นสามารถครองโลกได้
ในยุคคลื่นลูกที่สามนี้ ทอฟฟ์เลอร์
อธิบายว่า
การผลิตสิ่งเหมือนกันจำนวนมากๆ ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
Mass
ต่างจะหมดไป
ไม่ว่าจะเป็น
Mass
Production, Mass Media, Mass
Transit
ระบบรวมศูนย์จะเริ่มแตกสลายออก
เมื่อปัจจัยแห่งความมั่งคั่งคือ
ข่าวสารข้อมูลไปถึงทุกๆ คน
ไม่มีใครสามารถเก็บข่าวสารข้อมูลไว้คนเดียวได้อีกต่อไป
ประชาชนจะเลือกสิ่งที่เขาต้องการได้จากการเรียนรู้จากข้อมูลที่ได้รับ
ไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้างอีกต่อไป
คนธรรมดาอาจจะมาเป็น
“
เถ้าแก่
”
(
Entrepreneurs
)
ที่บ้านของเขาได้เอง
สื่อต่างๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับรสนิยมของกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
เงินตราไร้ความหมาย
กลายเป็นยุคของบัตรเครดิต
รูปแบบการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
และ
ทอฟฟ์เลอร์
ได้กล่าวเตือนว่า
การต้อนรับคลื่นลูกที่สามนี้
ประเทศกำลังพัฒนาควรรีบพัฒนาโดยเฉพาะการเร่งให้ความรู้แก่ประชาชนทุกระดับชั้น และต้องมีการวางรากฐานของโครงสร้างอุปกรณ์หลักๆ ไว้ให้พร้อม
เช่น
ระบบดาวเทียม
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นต้น
แนวคิดทฤษฎีคลื่นลูกที่สามของ
อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ พอทำให้ทราบถึง
“
การพัฒนา
”
ว่าการพัฒนาเปรียบเสมือนพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมและเป็นสังคมข้อมูลข่าวสารเทคโนโลยีสารสนเทศในคลื่นลูกที่สาม ซึ่งพอสรุปได้ว่า
“
คลื่นลูกที่หนึ่ง คือ สังคมเกษตรกรรม
คลื่นลูกที่สอง คือ สังคมอุตสาหกรรม
คลื่นลูกที่สาม คือ สังคมข้อมูลข่าวสาร
เทคโนโลยีสารสนเทศ
”
การพัฒนาในปัจจุบันได้ผ่านช่วงเหตุการณ์ที่สำคัญมามากมาย ซึ่งแต่ละยุคล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการพัฒนาระบบโลกทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเปรียบเสมือนคลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่ถาโถมขึ้นมากระทบฝั่งแล้วก็ม้วนตัวกลับไปคืนสู่ท้องทะเลซึ่งเป็นธรรมชาติของทุกสิ่ง แต่ว่า มนุษย์ ซึ่งได้สร้างนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมามากมายเพื่อสร้างสรรค์โลกและเพื่อความอยู่รอดของตนเอง จนมาถึงยุคปัจจุบันซึ่งได้มีการเปลี่ยนผ่านมาหลายยุคสมัย แต่ละช่วงล้วนผ่านบทเรียนที่สำคัญ ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปทำให้ได้ทราบถึงกระบวนการพัฒนาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเห็นเป็นพลวัตมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง
เปรียบประดุจกับธรรมชาติของสรรพทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การพัฒนาประเทศถ้ายังไม่รู้จักทุนทางสังคมที่มีอยู่ในประเทศแล้ว แม้จะนำกระบวนการพัฒนาจากต่างประเทศมาใช้ก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาให้เข้ากับประเทศไทยได้ นอกจากรู้จักตนเอง ค้นหาความเป็นวิถีชีวิตของตนเอง ว่า มีอะไรบ้างที่จะต้องพัฒนา ไม่จำเป็นจะต้องวิ่งตามกระแส หรือ ทำตามความทันสมัยของกระแสโลก ตลอดเวลา เพียงแค่ให้รู้เท่าทันและปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมทั้งคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ภายในประเทศ นอกจากนั้น ย้อนมามองถึง
“
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
”
ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งหรือเป็นทางเลือกของการพัฒนาประเทศที่เหมาะสมกับสังคมไทย
ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทย มีกระบวนการพัฒนาประเทศเพื่อให้แข่งขันเพื่อให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ แต่ไม่คำนึงถึงแนวทางการพัฒนาที่เป็นของตนเอง ซึ่งมีอยู่อย่างมากมายภายในประเทศ ทั้งทางด้านวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญาท้องถิ่น สังคมที่มีความเอื้ออาทรต่อกัน ซึ่งล้วนเป็น
“
ทุนทางสังคม
”
ที่เป็นรากฐานของการพัฒนาได้ มัวแต่หลงกระแสทางด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว ซึ่งเป็นความเจริญทันสมัยก็จริง แต่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาที่เป็นทางเลือกของสังคมไทย
ที่สำคัญกระบวนการพัฒนานอกจากให้ความสำคัญกับทุนทางสังคมแล้ว คุณภาพของคนก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งนอกจากมีกระบวนการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนระหว่างกันแล้ว ต้องมีระบบการจัดการความรู้ที่มีอยู่ให้สามารถถ่ายทอดแลกเปลี่ยน รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวก ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่สาธารณะทางสังคมซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผ่านชุมชนเสมือนจริง โดยผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ สื่ออินเตอร์เน็ต เป็นต้น
ดังนั้น กระบวนการพัฒนาที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องหันมาพิจารณาถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสามารถพัฒนาได้บนพื้นฐานทุนทางสังคมที่มีอยู่ หรือว่าจะหลงทุนนิยมซึ่งหมุนไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ต่อไป
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา
ประเทศไทยและคนไทยสามารถสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ในการพัฒนาชุมชน และแนวทางการพัฒนาที่เป็นทางเลือกใหม่ของโลกได้โดยการปรับใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
เขียนใน
GotoKnow
โดย
บุญยิ่ง ประทุม
ใน
บาว นาคร
คำสำคัญ (Tags):
#พัฒนาชุมชน
หมายเลขบันทึก: 147491
เขียนเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2007 21:45 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 20:32 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
บุญยิ่ง ประทุม
สมุด
บาว นาคร
กระแสแห่งการพัฒนา
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท