ต่อจาก การเขียนบทความทางวิชาการ: ชื่อผู้นิพนธ์ และผู้ร่วมนิพนธ์
ในฐานะที่ผู้นิพนธ์ (ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเสริฐ ทองเจริญ) ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการจดหมายเหตุทางการแพทย์ของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มาตั้งแต่ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีการเว้นระยะประมาณ 6 ปีเศษ (ไปดำรงตำแหน่งผู้รั้งนายกแพทยสมาคมฯ และนายกแพทยสมาคมฯ รวม 4 ปี หลังจากพักอยู่ร่วม 2 ปี ก็ได้รับเชิญเข้าไปแก้ปัญหาความล่าช้าของวารสารและปัญหาด้านการเงิน จนจวบถึงปลายปี พ.ศ.2546)
เป็นบรรณาธิการผู้ก่อตั้งแพทยสภาสาร ระหว่างปี พ.ศ. 2514 - 2520 เป็นเวลา 6 ปี และได้รับหน้าที่เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาอีก เมื่อปี พ.ศ. 2538 จนถึงปัจจุบัน
เป็นบรรณาธิการผู้ก่อตั้งวารสารโรคเอดส์ของกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 จนถึงปัจจุบัน
และเคยเป็นบรรณาธิการวารสาร Asia Pacific Journal of Allergy and Immunology อยู่อีกถึง 4 ปี ได้อาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมา ไปแก้ปัญหาต่างๆ ที่ได้ยกไว้ในตอนต้น (บันทึกที่แล้ว) ตามลำดับดังนี้
-
(บางบทความมีชื่อผู้นิพนธ์มากเกินไป จนเกินความจำเป็น) การที่จะให้มีชื่อผู้ใดอยู่ในคณะผู้นิพนธ์ขอให้ยึดหลักของ Uniform Requirement for Manuscripts Sumitted to Biomedical Journal ซึ่งจัดทำโดย International Committee of Medical Journal Editors ซึ่งตีพิมพ์ใน Ann Intern Med 1997; 126: 36-47.
-
(บางบทความตัดชื่อผู้ร่วมวิจัยออกหมดเหลือชื่อตนเองคนเดียว ราวกับว่าเป็นทศกัณฐ์สิบหน้า ยี่สิบมือ จึงวิจัยงานนั้นได้สมบูรณ์) ถ้าบรรณาธิการพิจารณาเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็มักจะลองปรึกษาคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขานั้นๆ ดูว่าเรื่องเช่นนี้ งานวิจัยในลักษณะ "one man show" หรือ "lone star" จะทำได้หรือไม่ ถ้าเห็นว่าสุดวิสัย อาจจะส่งคืนไม่รับตีพิมพ์ หรือขอให้ชี้แจงหรือปรับปรุงเพิ่มเติมแล้วแต่กรณี
-
(เจ้าหน้าที่ที่ทำงานตามปกติ (พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ) แต่ถูกเอางานที่ทำอยู่เป็นประจำ ไปศึกษาวิเคราะห์และรายงาน มาร้องเรียนว่าทำไมไม่มีชื่อของตนเอง มีปรากฎเฉพาะที่กิตติกรรมประกาศ หรือบางครั้งไม่มีปรากฎ ณ ที่ใดเลย) แก้ปัญหาโดยยึดหลักข้อหนึ่งที่กล่าวไว้แล้ว
-
(ผู้นิพนธ์ชื่อแรก แอบขโมยเอาผลงานของทั้งคณะนักวิจัยไปเขียนเป็นบทรายงาน ส่งไปตีพิมพ์ โดยผู้ร่วมคณะวิจัยไม่ทราบ ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลย) คนที่ขโมยบทความนั้นจะต้องได้รับการลงโทษ ถ้าจับได้ต้องแจ้งให้หน่วยงานหรือผู้บังคับบัญชาหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ได้รับทราบถึงการกระทำเยี่ยงโจรนี้
-
(ชื่อของผู้ร่วมวิจัยขาดหายไปบางคน ไม่ครบเหมือนในพิธีสาร (protocol) ที่ยื่นเสนอขอทำวิจัย จึงเขียนจดหมายมาประท้วง) กรณีที่บางชื่อหล่นหายไป อาจเกิดขึ้นได้ หากผู้ร่วมวิจัยบางท่านขอถอนตัวจากคณะวิจัย หรือไม่เอาใจใส่ในงานวิจัย โดยคณะนักวิจัยพิจารณาแล้วว่า ไม่น่ามีชื่อร่วม ถ้าสงสัยก็ให้ชี้แจงได้ คงต้องพิจารณาเป็นแต่ละกรณีไป
-
(ผู้ที่มีชื่อร่วมรายงานเขียนหนังสือมาประท้วงว่า บทความแย่ๆ อย่างนั้น ใส่ชื่อท่านไปทำไม โดยที่ท่านไม่ทราบมาก่อน)
(ผู้ที่ได้รับการกล่าวคำขอบคุณในกิตติกรรมประกาศ เขียนจดหมายมาต่อว่าว่า ไม่น่าเอาชื่อไปขอบคุณเลยว่าช่วยตรวจบทความ หรือช่วยดูภาษาอังกฤษให้ อันที่จริงแล้วท่านผู้นั้นไม่เคยได้อ่านต้นฉบับครบตลอดทั้งเรื่อง สุดท้ายบทความบทนั้นเป็นยทความที่คุณภาพต่ำ สับสน ภาษาอังกฤษสุดแย่ ทำให้ท่านเสียเครดิตไปเปล่าๆ) ในกรณีที่แอบอ้างใส่ชื่อผู้อื่นลงไปในบทรายงานหรือกิตติกรรมประกาศ ผมจะส่งจดหมายประท้วงนั้นให้คณะผู้นิพนธืได้ทราบ แล้วให้ไปแก้ไข แก้ตัว หรือไปสารภาพผิดกันเอง ผมคงเข้าไปเกี่ยวข้องมากไม่ได้ เป็นเอกสิทธิ์ส่วนบุคคลที่จะไปว่ากล่าวกันเอง ผมเองเพียงบันทึกหรือจดจำพฤติกรรมน่าละอายอันนี้เอาไว้ว่ามีผู้ใดบ้างที่ชอบมีพฤติกรรมเช่นนั้น อาจเพื่อเอาใจเจ้านายหรือเพื่อให้คนคิดว่าบทความของตนดีเพราะอาศัยเครดิตผู้อื่น แต่ผลที่ได้กลับติดลบ ต้องลงบัญชีดำเอาไว้ด้วย
-
(เรื่องที่ลงในวารสาร เมื่อมีการแบ่งการมีส่วนร่วมในรายงานนั้น มีผู้ร้องว่าทำไมมีส่วนร่วมเพียงน้อยนิด 2% บ้าง 5% บ้าง น่าจะมีมากกว่านั้น) การที่ได้ส่วนร่วม 2% หรือ 5% นั้นไม่น่าจะยินดีอะไร บางนายที่ได้ 2% คงได้เพราะเคยเดินผ่านหน้าห้องวิจัยไป 2 ครั้งกระมัง การที่ได้ชื่อร่วมในบทรายงาน เพื่อเอาไปเขียนชีวประว้ติโดยที่ตนเองไม่ได้ลงแรงอะไรนั้น ไม่น่าจะเกิดความภาคภูมิใจอะไร น่าละอายด้วยซ้ำไปที่เกิดการ "ละโมภ" จากการจับเสือมือเปล่า หากท่านไม่ได้ร่วมงานอะไรมากมาย ถึงจะไม่มีชื่อก็อย่าไปโกรธเคืองคณะผู้วิจัยเขาเลย โอกาสที่ท่านจะมีชื่อในที่ต่างๆ นั้น ยังมีอีกมาก
-
(มีการนำเอาชื่อชาวต่างประเทศเป็นผู้ร่วมนิพนธ์ แต่ไม่สามารถติดต่อเจ้าตัวเพื่อลงนามในแบบฟอร์มที่จะส่งบทความไปตีพิมพ์ได้ จะให้ปฏิบัติอย่างไร) การเอาชื่อผู้ที่ไม่สามารถจะติดต่อได้ไปร่วมในชื่อผู้นิพนธ์นั้นคงจะไม่เหมาะ เอาไปไว้ในกิตติกรรมประกาศคงจะเหมาะกว่า ถ้าเจ้าของบทความยืนยันที่จะให้ปรากฎเช่นนั้น จะสอบถามกลับไปว่าจะให้ตัดชื่อนั้นออกเอง หรือจะให้ส่งบทความที่ไม่ถูกระเบียบไม่เข้าเกณฑ์ฉบับนั้นคืนไปโดยไม่รับตีพิมพ์ ให้ท่านเลือกตัดสินใจเอาเอง
ยังมีต่อบันทึกหน้า.....