บรรยากาศการทำงานของทีมกิจกรรมบำบัด ม. มหิดล กำลังสร้างวัฒนธรรมหนึ่ง คือ "เวลาของการเปิดใจ" กำหนดกติกาให้ฟังความคิดเห็นทั้งบวกและลบที่สะท้อนถึงความรู้สึกที่ได้ร่วมกันทำงานแล้วเกิดปัญหา โดยฝ่ายหนึ่งรับฟังอย่างใช้สติและพิจารณาข้อผิดพลาดของตนเองว่าจะแก้ไขปัญหาระหว่างเพื่อนร่วมงานได้อย่างไร จากนั้นสลับฝ่ายที่ฟังมาบรรยายความรู้สึกและความคิดเห็นถึงข้อผิดพลาดของฝ่ายที่พูดตอนแรก จากนั้นทั้งสองฝ่ายต้องไม่นำความรู้สึกเปิดใจครั้งนี้ไปเป็นข้อติดใจกัน ต้องให้อภัยและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกัน
วิธีนี้เป็นเทคนิคหนึ่งของกิจกรรมบำบัดทางจิตสังคม ที่ผมกำลังใช้บริหารงานกับพวกน้องๆ กิจกรรมบำบัด ม. มหิดล เพื่อร่วมกันสร้างคุณภาพของหลักสูตรและคลินิกอย่างมีความสุขและมีสัมพันธภาพที่ดี
ก่อนมาถึงการสร้างบรรยากาศแบบนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้อ่านหนังสือ "จริต ๖" ของ ดร. อนุสร จันทพันธ์ และ ดร. บุญชัย โกศลธนากุล และพยายามสังเกต "จริต ๖" ของเพื่อนๆ ที่ทำงาน เพื่อปรับตัวเองให้ทำงานได้ด้วยความดีและมีใจที่เป็นสุขกับพวกเค้า
บางตอนที่อ่านแล้วกินใจ ขออนุญาตผู้เขียน นำมาเสนอในบล็อกนี้คือ
สวัสดีครับAjarn Dr. Pop
น่าจะมีการทำวิจัยด้านกิจกรรมบำบัดของจริตผสมด้วยนะครับ เพราะจริงๆแล้ว คนเราส่วนใหญ่ไม่ได้มีเพียงจริตเดียว
ผมคิดว่า ถ้ามีงานวิจัยด้านนี้ออกมาจะเป็นประโยชน์แก่สังคมในวงกว้างครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับคุณข้ามสีทันดร
เป็นความคิดที่น่าสนใจครับ คนเรามีจริตประสมจริงๆ ครับ แต่มีจริตหลักๆที่แสดงออกมาในสถานการณ์และเวลาที่ต่างกัน
การฝึกกิจกรรมบำบัดทางจิตสังคม เน้น self-management & psychosocial participation เพื่อให้ผู้ป่วยหรือคนทั่วไปเข้าใจจริต (self-interest and performance) ของการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งมีงานวิจัยในต่างประเทศแล้วครับ
ในไทย เรายังขาดผู้เชี่ยวชาญกิจกรรมบำบัดด้านจิตสังคม เพราะผมเพิ่งจบโดยตรงมาคนแรก คงต้องขอความร่วมมือหาเครือข่ายงานวิจัยซักพักหนึ่งครับ
ตัวน้องเองมีจริตประสม เด่นคือพุทธิจริต(มีการพัฒนาจิต วิญญาญ ตัวเองตลอด เปิดใจกับข้อแนะนำต่างๆนำมาปรับใช้) และรองคือ ศรัทธาจริต (มุ่งหวังจากพัฒนาคนอื่นและสังคมรอบตัวให้ดีขึ้น) แต่ที่ผ่านๆมาก่อนจะรู้ตัวเองว่ามีจริตแบบนี้เป็นเหมือนคำพังเพยที่ว่า ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา รบร้อยครั้ง แพ้ยับเยินทุก ครั้ง (แอบดัดแปลงนิดหน่อยค่ะ) ทำให้จิตใจหม่นหมองทุกข์มากกว่าสุข สงสัยตลอดทำไมคนทั่วๆไปจึงไม่สามารถหรือไม่ต้องการพัฒนาจิตวิญญาญตนเองกันบ้างหรือ จะได้ช่วยให้การใช้ชีวิต การทำงาน และครอบครัวดีขึ้น ไม่ต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้าย เหมือนประสบการณ์เก่าๆในอดีตของพวกเขาไม่เคยสอนอะไรเขาเลยหรือ เราจึงเดือดร้อนอยากไปเปลี่ยนแปลงคนเหล่านั้น จนได้อ่านหนังสือ จริต 6 ศาสตร์ในการอ่าใจคน ทำให้รู้ตัวเองว่า จริตเรามันเป็นแบบนี้ ชอบคิดชอบรู้สึกแบบนี้ (อายุ 31 แล้วยังไม่เคยรู้จักตัวเอง แต่เที่ยวไปรู้จักคนอื่นไปทั่ว มัวไปอยู่ใหนมาน๊าเรา) จึงรู้ข้อด้อยตัวเองด้วยว่าเป็นแบบนี้ สุดท้ายจึงทราบสาเหตุที่ทำให้ทุกข์ เพราะเราไม่รู้เขา ไม่รู้เรา ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้กาล ไม่รู้ประมาณ คือสรุปว่าไม่เคยมีธรรมมะข้อ สัปปุริสธรรม 7 ในใจสักนิดเลย จึงสมควรแล้วที่เดินหลงทางไปขนาดนั้น จากนี้เรารู้เรา ต้องหัดรู้เขา จะได้ปรับตัวให้ถูกจริต การทำงานร่วมกันจะได้ราบรื่น และเปิดใจนำธรรมมะข้ออื่นๆมาพัฒนาตัวเองให้ครองสติ มีการตัดสินใจที่ดีกว่านี้ขึ้นเรื่อยๆ และฝึกเมตตา การให้อภัย การให้ทานแบบสัตบุรุษ และการทำลายอัตตาในตัวเอง ผู้เขียนแนะนำว่า ให้ฝึกส่องใน ไม่ส่องนอก บ่อยๆ
เรื่องจริตมีการกล่าวไว้อย่างพิสดารในปฏิสัมภิทามรรค โดยพระสารีบุตร คัมภีร์วิมุตติมรรค คัมภีร์วิสุทธิมรรค และอภิธรรมาวตาร หากต้องการเข้าถึง Original ด้วยการทำวิจัย เชิญดูได้จากคัมภีร์ดังกล่าว
ขอบคุณมากครับท่านธรรมหรรษา และคุณ nattha