5 สรุป
ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ จึงอดไม่ได้ที่จะมองวรรณคดีในมิติประวัติศาสตร์เสมอ คือศึกษาวรรณคดีไทยโดยมุ่งเน้นที่เนื้อหาและการวิเคราะห์เนื้อหา เพื่ออธิบายประสบการณ์ด้านต่างๆ ของมนุษย์ ผมพอใจที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาวรรณคดีจากภายใน เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีเกียรติจึงไม่เห็นผมพูดถึงเลยว่า จะใช้ทฤษฎีอะไรศึกษาวรรณคดี ผมเชื่อว่า นำทฤษฎีตะวันตกเข้ามามองวรรณคดีไทยเมื่อใด ก็คงหมดสนุกเมื่อนั้น การมองของนักประวัติศาสตร์จึงเป็นการมองจากภายในออกมา นักประวัติศาสตร์สนทนากับหลักฐานเอกสารอื่นๆ ของเขาได้อย่างไร ก็ต้องสนทนากับวรรณคดีที่เขาศึกษาได้อย่างนั้น หลักการคือ นักประวัติศาสตร์ต้องเข้าใจวรรณคดีอย่างที่คนเขียนหรือคนในสังคมของผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้นเข้าใจความคิดหลักที่ผมพยายามถ่ายทอดในที่นี้คือ การศึกษาวรรณคดีไทยต้องอยู่ในบริบทที่กว้างขวางเกินกว่าความชื่นชนสุนทรียรสเพียงอย่างเดียว
ความสำเร็จของวรรณคดีไทยอยู่ที่การทำให้สังคมเห็นความสำคัญของวรรณคดีเก่า การทำให้คนในสังคมร่วมสมัยเห็นความสำคัญของวรรณคดีเก่า ขึ้นอยู่กับการเชื่อมโยงวรรณคดีเก่านั้นไปสู่บริบทของการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมไทย และความต่อเนื่องของธารวัฒนธรรมไทยจากอดีตสู่ปัจจุบัน.
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้กรุณาให้เกียรติฟังการบรรยายในครั้งนี้ ผิดพลาดประการใดท่านก็คงให้อภัย เพราะเชิญนักประวัติศาสตร์มาบรรยายเรื่องวรรณคดีไทย นักประวัติศาสตร์จะรู้เรื่องวรรณคดีไทยดีกว่าท่านผู้ศึกษาโดยตรงนั้นคงเป็นไปไม่ได้.
ผมใคร่ขอขอบพระคุณที่ติดตามฟังและขอจบการบรรยายแต่เพียงนี้ครับ.
เป็นอันจบการบรรยายพิเศษ เรื่อง “ประวัติศาสตร์กับการศึกษาวรรณคดีไทย” โดย ดร. วินัย พงศ์ศรีเพียร ต่อไปจะเป็นเรื่อง “ชายคาภาษาไทย”
วิจารณ์ พานิช
๑๙ ต.ค. ๕๐
อะไรกันว่ะเนี่ย
ไม่เห็นมีไรเลยอ่ะ
เขียนอะไรไม่รู้เรื่อง
เขียนเกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น