กวีไม่ใช่เทวดา กวีมีฮากวีมีเฮ


ความเรียง ถึงตัวตนของสภาวะการสร้างสรรค์บทกวี ตัวตนของความเป็นคนกวี หรือ ปรารถนาจะเป็นกวี ทั้งในความธรรมดา และแง่มุมของชีวิต

กวีไม่ใช่เทวดา กวีมีฮากวีมีเฮ

อ้างอิง - ภาพ http://www.lomography.com/folkways

มีเรื่องเล่าแบบลมหายใจ

กล่าวเปรียบเปรยกวี เหมือนมวลหมู่แมลง

ดั่งภู่ดอมดมน้ำดอกไม้ก่อนกักเก็บ จนก่อเป็นน้ำรสหวานแห่งพันธุ์ไม้ เฉกเช่นที่กวีดอมดมความงดงามของโลก ก่อนกลั่นกรองเป็นเรื่องราว หมักบ่มเป็นคำขาน เรื่องเล่า ความเรียง และแง่งามแห่งภาษาให้เราได้ร่วมดื่มกิน

มีคำตอบน่าสนใจของลานเทวา กล่าวยืนยันว่า

กวีไม่ใช่เทวดา

โดยอ้างอิงและยืนยันว่ากวีนั้นเหาะไม่ได้ แต่กวีก็เคลื่อนย้ายได้โดยการกลิ้ง ยามอารมณ์เบิกบานใจท่ามกลางหมู่มิตรสหาย และลมหายใจมีกลิ่นละมุด กวีมีเรื่องราวและมีเรื่องเล่ามากมายในชีวิต

ท่ามกลางเสียงหัวใจและอารมณ์บันเทิงใจ

กวีมีลมหายใจและมีน้ำตา

มากกว่าหรือน้อยกว่าคนทั่วไป ไม่สามารถตอบได้ อาจขึ้นอยู่กับน้ำเสียงและห้วงขณะของชีวิต จะอดทนหรือกร้านพอ เพื่อเผชิญหน้าแรงบันดาลแห่งน้ำตาได้เพียงใด สิ่งเหล่านั้นต่างคนต่างต้องตอบ อาจตอบแทนมิตรสหายได้บ้าง ยามเคยเห็นน้ำตาเพื่อน แต่ไม่อาจตอบแทนกันได้ในทุกโมงยาม เพราะบางครั้งเราก็ชอบแอบร้องไห้คนเดียว

บางครั้งบางคนบอกว่า

กวีเป็นดั่งอาภรณ์ประดับกาย

บ้างยืนยันและนั่งเถียง ว่ากวีเป็นลมหายใจ

ไม่ใช่นึกจะสวมใส่และถอดทิ้งได้เพียงชั่วปรารถนา ต้องเก็บซับและซึมในเนื้อนัยของความงาม จึงจะกล่าวขานได้ว่าแลเห็นความงาม มีหลายครั้งที่นั่งถามไถ่ หรือคุยเรื่องราวกวี ในท่ามกลางความรันทดของชีวิต เพื่อยืนยันว่าแง่งามในโลกนี้ยังมีอยู่จริง

บ้างกล่าวว่า

กวีเป็นดั่งยานนาวา

นำพาเราให้ข้ามห้วงน้ำใหญ่ แห่งการว่ายวนของชีวิต  หากคิดตามและปล่อยดวงใจให้รื่นไหลไปในท่ามกลางความงามแห่งกวี หลายครั้งนำพาเราไปสู่ประตูคำถาม ว่าความดี ความงาม และความจริง ในโลกใบนี้นั้น เราจะยึดกอดสิ่งใดไว้ เพื่อประคองใจเราให้ก้าวพ้นห้วงน้ำแห่งมายานี้

หรือมายานี้ไม่มีอยู่จริง

มีเสียงตะโกนข้ามโต๊ะดังผ่านมา

มีคนถามหาว่า อะไรที่ว่างามนั้น จำต้องงามเสมอกันหรือไม่

บ้างหยิบหนังสือ สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ มาหนึ่งเล่ม ก่อนหยิบหน้าปกขึ้นนำเสนอ พร้อมขยิบตาสองที ให้เห็นเรื่องราวเนื้อปกว่า เจ้าว่างาม ไม่ตามเจ้า หลังจากนั้นเริ่มต้นหัวเราะเสียงดัง ก่อนหยุดลงอย่างฉับพลัน หยิบแก้วน้ำยกดื่มจนหมด

 

มีเสียงดังข้ามไปข้ามมา

บ้างบอกว่า กวีขับขานเรื่องราวแง่งามยิ่งใหญ่

แม้เทวดายังต้องเอียงอาย เพราะความงดงามเหล่านี้ ได้ขับขานลำนำบทกลอน ให้เทวดามีตัวตนอันโดดเด่น แม้กวีไม่ใช่เทวดา แต่กวีก็ทำให้เทวดามีค่าสง่าราศีจับตาและดูดี กวีจึงมีค่าต่อเทวดา แม้มิใช่เทวดา

บ้างกระซิบเบาเพียงแผ่ว บอกว่า

กวีมีสายตา

เพื่อมองเห็นความงามของโลก จับจ้องสังเกตุและแอบมอง ยามเรื่องราวของโลกได้ผ่านสายตา กวีจึงบันทึกสิ่งเหล่านั้นในห้วงแห่งความทรงจำ และจินตนาการ ก่อนนำพาอารมณ์ให้บรรเจิดออกมา เป็นภาษากวี

กวีมีจินตนาการ

เพื่อผลักดันโลกให้มีรุ่งเช้า และบอกกล่าวกับผู้คนว่า ที่หดหู่ ที่เหน็ดเหนื่อย อันเพลียใจนั้น ยังมีความหวังในลมหายใจที่อาจหลงลืม กวีจึงคอยตื่นขึ้นมาเพื่อเติมใจแห่งจินตนาการ บางคนอ้างอิงว่า กวี นี้แหละที่คอยขโมยไฟมาให้มนุษย์ แอบหยิบไฟจากเทวดาดั้งขอ มาให้มนุษย์ได้มีคบไฟ และมีแสงสว่างในหัวใจ

กวีจึงต้องถูกคำสาปจากเทวดา

ให้ต้องระทมทุกข์ในโลกแห่งมนุษย์

กวีรู้สึกรู้สา และมองเห็นคำถามคำตอบวนเวียนไปมา ในท่ามกลางโลกแห่งการต่อรองขัดแย้ง กวีจึงมักตั้งคำถาม และถามหา ว่าหนทางควรไปสู่จุดใด กวีบางคนจึงมิหวาดกลัวอำนาจ กระแสธารและคลื่นใหญ่ เพราะยืนยันว่าค้นพบหนทางอันจริงแท้ ในท่ามกลางความงามและความดี

ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร

กวีก็เหมือนคนธรรมดา ยามอยู่ท่ามกลางมิตรสหาย

มีเสียงหัวเราะ มีเสียงเล่าขาน มีคำบอกกล่าว บอกเล่าเรื่องราวกลบความทุกข์ยากในใจ เหมือนดั่งนาวานำพาท่องไปในห้วงน้ำใหญ่ ท่ามกลางความทุกข์ กวีจึงมีเรื่องราวมีเรื่องเล่า

กวีมีฮากวีมีเฮ

กวีมีลมหายใจ และไม่ใช่เทวดา

 

หมายเลขบันทึก: 143760เขียนเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2007 14:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท