BM.chaiwut
พระมหาชัยวุธ โภชนุกูล ฉายา ฐานุตฺตโม

เล่าเรื่องสิงคาลกสูตร ๓๔


เล่าเรื่องสิงคาลกสูตร ๓๔

ดูกรลูกนายบ้าน สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ คือ

  • ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว ๑
  • ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑
  • อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม ๑
  • ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑
  • ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๑
  • บอกทางสวรรค์ให้ ๑

ใคร ? สังเกตมาตั้งแต่ต้น จะพบว่าหน้าที่ของ บุตร มารดาบิดา ...ฯลฯ... นาย ทาสและกรรมกร จนถึงหน้าที่ของกุลบุตรในทิศเบื้องบนนี้เป็นที่สุด จะประกอบด้วยองค์ ๕ ทั้งหมด... แต่เมื่อมาถึงหน้าที่ของสมณพราหมณ์ กลับมีองค์ ๖ ... ซึ่งประเด็นแตกต่างในข้อนี้ ผู้เขียนสงสัยมาตั้งแต่เริ่มเรียนนักธรรมตรีเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตอนแรกบวช... จนกระทั้งปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่พบข้อวินิจฉัย หรือจะคาดเดาเอาเอง ก็ยังคิดไม่ออก... ดังนั้น ผู้สนใจจงไปค้นหาเอาเองเถิด...

สองข้อแรกคือ การห้ามไม่ให้ทำความชั่ว และ การสอนให้ตั้งอยู่ในความดี พระอรรถกถาจารย์ไม่ได้ขยายความ... อาจเพราะว่าสองข้อแรกนี้เหมือนกับหน้าที่ีสองข้อแรกของมารดาบิดาที่จะอนุเุคราะห์ต่อบุตร (ดู เล่า...๒๔)...

ประเด็นสองข้อแรกนี้ ในทิศเบื้องหน้าผู้เขียนเคยวิจารณ์ไว้ว่า พ่อแม่มีหน้าที่ห้ามไม่ให้ลูกทำชั่ว และสอนให้ทำแต่ความดี ขณะที่ลูกไม่มีหน้าที่ว่าจะต้องเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ฉันใด....

ในทิศเบื้องบนนี้ก็ทำนองเดียวกัน กล่าวคือ พระสงฆ์ (สมณพราหมณ์) มีหน้าที่ห้ามไม่ให้ญาติโยม (กุลบุตร) ทำความชั่ว และสอนให้ทำแต่ความดี ขณะที่ญาติโยมก็ไม่มีหน้าที่ว่าจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระสงฆ์ฉันนั้น (ดู เล่า...๓๓)

ตามที่ว่ามานี้ จัดเป็นเป็นความลุ่มลึกของหลักคำสอนที่สอดคล้องกันนั่นเอง....

...................

ในข้อที่สาม คือ อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจงาม ท่านขยายความว่า แผ่ประโยชน์เกื้อกูลว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข ไม่มีเวร ไม่มีโรค ไม่เบียดเบียนกันเถิด... นั่นคือ พระสงฆ์ต้องหนักไปด้วยการแผ่เมตตา ตามความเข้าใจแบบไทยๆ นั่นเอง

ข้อที่สามนี้ ท่านขยายความอีกนัยหนึ่งว่า พระ-เณร เมื่อนำพาเพื่อนพระ-เณรผู้มีศีลรูปอื่นๆ ไปหาญาติโยม ก็ถือว่าอนุเคราะห์ญาติโยมด้วยน้ำใจงามเช่นเดียวกัน...

นัยนี้อาจเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า พระ-เณรทั่วไปก็คล้ายกับญาติโยม... บางท่านจงใจปกปิดว่าท่านเองรู้จักใครบ้าง และก็ปกปิดต่อญาติโยมมิให้รู้จักพระ-เณรอื่นๆ... ทั้งนี้ก็เกรงว่า ญาติโยมของท่านจะแบ่งปันลาภผลที่จะพึงได้ไปให้พระ-เณรรูปอื่นๆ ด้วย (เดียวเค้าจะศรัทธารูปอื่นมากกว่า)... ทำนองนี้จัดเป็นกิเลสแผนกหนึ่งเรียกกันตามศัพท์ธรรมะว่า กุลมัจฉริยะ การตระหนี่ตระกูล ...

ส่วนพระ-เณรรูปใด ที่แนะนำพระ-เณรที่ดีมีศีล ให้ญาติโยมคนโน้นคนนี้รู้จัก จัดว่าเป็น ผู้อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจงามต่อญาติโยม... ประมาณนี้

........

และสามข้อสุดท้าย คือ ให้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง ๑ ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๑ และ บอกทางสวรรค์ให้ ๑ ...ผู้เขียนคิดว่าสงเคราะห์เข้าในการแสดงธรรมเทสนา หรือการเผยแพร่หลักธรรมะ นั่นเอง

ส่วนในอรรถกถา ท่านก็ไม่ได้ขยายความไว้ ยกเว้นคำว่า ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ท่านขยายความว่า แนะนำให้หมดความสงสัยแล้วสอนให้ปฏิบัติได้จริง...ประมาณนั้น

ประเด็นหน้าที่ของพระสงฆ์ต่อญาติโยมเหล่านี้ อาจรวมความว่า เป็นไปเพื่อความเจริญและป้องกันความเสื่อมของญาติโยมทั้งในชาตินี้และชาติหน้า.... แต่ก็มิใช่หน้าที่ของญาติโยมว่าจะต้องกระทำตามพระสงฆ์ เพราะญาติโยมบางท่านอาจมีบารมีธรรม (อื่นๆ ) สูงกว่าพระสงฆ์ เป็นต้น 

.............. 

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสขยายความหน้าที่ซึ่งจะพึงกระทำต่อคนที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ซึ่งเรียกว่า ทิศ ๖ ครบถ้วนแล้ว... พระองค์ก็ได้ตรัสคาถาประพันธ์สรุป และเพิ่มเติมประเด็นอื่นๆ อีกเล็กน้อย ก่อนจะจบสิงคาลกสูตรนี้

เฉพาะคาถาประพันธ์บทต้นซึ่งว่าด้วยการสรุปเรื่องทิศ ๖ มีว่า...

  • มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรและภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตรอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสและกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน คฤหัสถ์ในสกุลผู้สามารถควรนอบน้อมทิศเหล่านี้...
ส่วนคาถาประพันธ์ที่เหลือ จะนำมาเล่าต่อในตอนต่อไป....    

 

หมายเลขบันทึก: 141771เขียนเมื่อ 25 ตุลาคม 2007 13:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

-/\- นมัสการค่ะพระอาจารย์

ตัวเองได้พบพระที่ท่านได้อนุเคราะห์ด้วยสถานทั้ง 6  รูปหนึ่ง และท่านก็ได้อนุเคระห์อลัชชีที่มาอาศัยวัดเช่นกัน  ช่วงออกพรรษาอลัชชีกลุ่มนี้ก็จะออกจากวัดตระเวณไปยังที่อื่นๆ แต่พอเข้าพรรษาคาดว่าคงไม่มีที่อยู่ก็จะกลับมาอาศัยวัดนี้เพราะความเมตตาของท่าน  แต่เพียงอาศัยวัด (เหมือนลูกที่ไม่เชื่อฟังพ่อคอยแต่ขอเงิน)ไม่ทำกิจของสงฆ์ ถ่วงความเจริญของวัด (ครั้งหนึ่งมีญาติโยมจะมาถวายกุฐิ มาเจออลัชชีกลุ่มนี้ล้อมวงกินเหล้ากัน ญาติโยมกลุ่มนี้ก็ไม่มาทำบุญวัดนี้อีกเลย)  ทำให้นึกถึงพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มีอยู่มากมายตามประสบการณ์ของตัวเองที่ได้พบเจอแต่คนเข้าไม่ถึงเพราะไปเจออลัชชี แล้วพากันกล่าวโทษว่าพระพุทธศาสนาเสื่อม  เห็นแล้วก็คิดว่าน่าจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาดูแลพระดีๆให้ท่านอยู่ได้ เพื่อช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ต้องคอยระวังตัวจากการถูกขู่กรรโชกจากอลัชชี และพวกไม่เข้าใจศาสนา

เพียงอยากระบายค่ะ

-/\-กราบนมัสการค่ะ

P

พัชรา

  • มีฝ่ายเทพก็มีฝ่ายมาร
  • มีสีขาวสีดำ (บางว่ามีเทา และเทาอ่อนเทาแก่)
  • มีดีมีชั่ว

ความเป็นคนก็อย่างนี้เอง มีมาตั้งแต่มีคนมั่ง ?

แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังถูกแบ่งประเภทเลย

คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ก็แค่นั้นเอง... แต่ทุกคนก็มีสิทธิบ่น ตราบเท่าที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น.....

นี้ อาตมาก็บ่นเพิ่มจากคุณโยมอีกนิด.....

เจริญพร 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท