ดูกรลูกนายบ้าน สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ คือ
ใคร ? สังเกตมาตั้งแต่ต้น จะพบว่าหน้าที่ของ บุตร มารดาบิดา ...ฯลฯ... นาย ทาสและกรรมกร จนถึงหน้าที่ของกุลบุตรในทิศเบื้องบนนี้เป็นที่สุด จะประกอบด้วยองค์ ๕ ทั้งหมด... แต่เมื่อมาถึงหน้าที่ของสมณพราหมณ์ กลับมีองค์ ๖ ... ซึ่งประเด็นแตกต่างในข้อนี้ ผู้เขียนสงสัยมาตั้งแต่เริ่มเรียนนักธรรมตรีเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตอนแรกบวช... จนกระทั้งปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่พบข้อวินิจฉัย หรือจะคาดเดาเอาเอง ก็ยังคิดไม่ออก... ดังนั้น ผู้สนใจจงไปค้นหาเอาเองเถิด...
สองข้อแรกคือ การห้ามไม่ให้ทำความชั่ว และ การสอนให้ตั้งอยู่ในความดี พระอรรถกถาจารย์ไม่ได้ขยายความ... อาจเพราะว่าสองข้อแรกนี้เหมือนกับหน้าที่ีสองข้อแรกของมารดาบิดาที่จะอนุเุคราะห์ต่อบุตร (ดู เล่า...๒๔)...
ประเด็นสองข้อแรกนี้ ในทิศเบื้องหน้าผู้เขียนเคยวิจารณ์ไว้ว่า พ่อแม่มีหน้าที่ห้ามไม่ให้ลูกทำชั่ว และสอนให้ทำแต่ความดี ขณะที่ลูกไม่มีหน้าที่ว่าจะต้องเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ฉันใด....
ในทิศเบื้องบนนี้ก็ทำนองเดียวกัน กล่าวคือ พระสงฆ์ (สมณพราหมณ์) มีหน้าที่ห้ามไม่ให้ญาติโยม (กุลบุตร) ทำความชั่ว และสอนให้ทำแต่ความดี ขณะที่ญาติโยมก็ไม่มีหน้าที่ว่าจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระสงฆ์ฉันนั้น (ดู เล่า...๓๓)
ตามที่ว่ามานี้ จัดเป็นเป็นความลุ่มลึกของหลักคำสอนที่สอดคล้องกันนั่นเอง....
...................
ในข้อที่สาม คือ อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจงาม ท่านขยายความว่า แผ่ประโยชน์เกื้อกูลว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข ไม่มีเวร ไม่มีโรค ไม่เบียดเบียนกันเถิด... นั่นคือ พระสงฆ์ต้องหนักไปด้วยการแผ่เมตตา ตามความเข้าใจแบบไทยๆ นั่นเอง
ข้อที่สามนี้ ท่านขยายความอีกนัยหนึ่งว่า พระ-เณร เมื่อนำพาเพื่อนพระ-เณรผู้มีศีลรูปอื่นๆ ไปหาญาติโยม ก็ถือว่าอนุเคราะห์ญาติโยมด้วยน้ำใจงามเช่นเดียวกัน...
นัยนี้อาจเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า พระ-เณรทั่วไปก็คล้ายกับญาติโยม... บางท่านจงใจปกปิดว่าท่านเองรู้จักใครบ้าง และก็ปกปิดต่อญาติโยมมิให้รู้จักพระ-เณรอื่นๆ... ทั้งนี้ก็เกรงว่า ญาติโยมของท่านจะแบ่งปันลาภผลที่จะพึงได้ไปให้พระ-เณรรูปอื่นๆ ด้วย (เดียวเค้าจะศรัทธารูปอื่นมากกว่า)... ทำนองนี้จัดเป็นกิเลสแผนกหนึ่งเรียกกันตามศัพท์ธรรมะว่า กุลมัจฉริยะ การตระหนี่ตระกูล ...
ส่วนพระ-เณรรูปใด ที่แนะนำพระ-เณรที่ดีมีศีล ให้ญาติโยมคนโน้นคนนี้รู้จัก จัดว่าเป็น ผู้อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจงามต่อญาติโยม... ประมาณนี้้
........
และสามข้อสุดท้าย คือ ให้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง ๑ ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๑ และ บอกทางสวรรค์ให้ ๑ ...ผู้เขียนคิดว่าสงเคราะห์เข้าในการแสดงธรรมเทสนา หรือการเผยแพร่หลักธรรมะ นั่นเอง
ส่วนในอรรถกถา ท่านก็ไม่ได้ขยายความไว้ ยกเว้นคำว่า ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ท่านขยายความว่า แนะนำให้หมดความสงสัยแล้วสอนให้ปฏิบัติได้จริง...ประมาณนั้น
ประเด็นหน้าที่ของพระสงฆ์ต่อญาติโยมเหล่านี้ อาจรวมความว่า เป็นไปเพื่อความเจริญและป้องกันความเสื่อมของญาติโยมทั้งในชาตินี้และชาติหน้า.... แต่ก็มิใช่หน้าที่ของญาติโยมว่าจะต้องกระทำตามพระสงฆ์ เพราะญาติโยมบางท่านอาจมีบารมีธรรม (อื่นๆ ) สูงกว่าพระสงฆ์ เป็นต้น
..............
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสขยายความหน้าที่ซึ่งจะพึงกระทำต่อคนที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ซึ่งเรียกว่า ทิศ ๖ ครบถ้วนแล้ว... พระองค์ก็ได้ตรัสคาถาประพันธ์สรุป และเพิ่มเติมประเด็นอื่นๆ อีกเล็กน้อย ก่อนจะจบสิงคาลกสูตรนี้
เฉพาะคาถาประพันธ์บทต้นซึ่งว่าด้วยการสรุปเรื่องทิศ ๖ มีว่า...
-/\- นมัสการค่ะพระอาจารย์
ตัวเองได้พบพระที่ท่านได้อนุเคราะห์ด้วยสถานทั้ง 6 รูปหนึ่ง และท่านก็ได้อนุเคระห์อลัชชีที่มาอาศัยวัดเช่นกัน ช่วงออกพรรษาอลัชชีกลุ่มนี้ก็จะออกจากวัดตระเวณไปยังที่อื่นๆ แต่พอเข้าพรรษาคาดว่าคงไม่มีที่อยู่ก็จะกลับมาอาศัยวัดนี้เพราะความเมตตาของท่าน แต่เพียงอาศัยวัด (เหมือนลูกที่ไม่เชื่อฟังพ่อคอยแต่ขอเงิน)ไม่ทำกิจของสงฆ์ ถ่วงความเจริญของวัด (ครั้งหนึ่งมีญาติโยมจะมาถวายกุฐิ มาเจออลัชชีกลุ่มนี้ล้อมวงกินเหล้ากัน ญาติโยมกลุ่มนี้ก็ไม่มาทำบุญวัดนี้อีกเลย) ทำให้นึกถึงพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มีอยู่มากมายตามประสบการณ์ของตัวเองที่ได้พบเจอแต่คนเข้าไม่ถึงเพราะไปเจออลัชชี แล้วพากันกล่าวโทษว่าพระพุทธศาสนาเสื่อม เห็นแล้วก็คิดว่าน่าจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาดูแลพระดีๆให้ท่านอยู่ได้ เพื่อช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ต้องคอยระวังตัวจากการถูกขู่กรรโชกจากอลัชชี และพวกไม่เข้าใจศาสนา
เพียงอยากระบายค่ะ
-/\-กราบนมัสการค่ะ
ความเป็นคนก็อย่างนี้เอง มีมาตั้งแต่มีคนมั่ง ?
แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังถูกแบ่งประเภทเลย
คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ก็แค่นั้นเอง... แต่ทุกคนก็มีสิทธิบ่น ตราบเท่าที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น.....
นี้ อาตมาก็บ่นเพิ่มจากคุณโยมอีกนิด.....
เจริญพร