ทำไมต้องปฎิรูปพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๔๙๐
ปัญหาสำคัญของทะเลไทยและชาวประมงพื้นบ้านคือ
การลดลงอย่างรวดเร็วของสัตว์น้ำ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่ง
และเครื่องมือประมงพื้นบ้านถูกทำลาย
โดยเรือที่ใช้เครื่องมือผิดกฎหมายทำการ ประมงในเขตหวงห้าม ปัญหาทั้ง ๓
มีอาการของปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่หรือจังหวัด เช่น
อวนรุนที่
จ.ปัตตานีเป็นสาเหตุสำคัญของการทำลายสัตว์น้ำและเครื่องมือทำการประมง
จ.นครศรีธรรมราช กับ จ.สุราษฎร์ธานีมี ทั้งอวนรุน อวนลาก
เรือปั่นไฟปลากะตักและน้ำเสียจากการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง
จ.สงขลานอกจากเครื่องมือการประมง เช่น อวนรุน เรือปั่นไฟปลากะตัก
แล้วยังเผชิญกับปัญหาการสร้างเขื่อนทะเลสาบ สงขลา การพัฒนา
อุตสาหกรรมและเมืองซึ่งปล่อยน้ำเสียลงทะเลสาบสงขลา
จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันมีการทำลายป่าชายเลนเพื่อเปลี่ยนสภาพเป็นบ่อเลี้ยงกุ้ง
การสัมปทานทำถ่าน การทำประมงผิดกฎหมาย เช่น อวนรุน อวนลาก ระเบิดปลา
และเมื่อยามคลื่นลมสงบก็มีกองเรือปั่นไฟปลากะตักเดินทางจากฝั่งอ่าวไทยเข้าร่วมกวาดจับสัตว์น้ำ
และปัญหาได้รุกคืบไปสู่การประมงผิดกฎหมายในคลองและแม่น้ำที่เชื่อมต่อกับทะเล
ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมานานโดยทวี ความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๖
เป็นต้นมา
การแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้เฉพาะพื้นที่และเป็นการชั่วคราว
เนื่องจากกระบวนการแก้ไขปัญหาถูกกำหนดไว้โดย พ.ร.บ.การประมง ๒๔๙๐
ซึ่งบัญญัติให้ฝ่าย การเมืองกับข้าราชการประจำเป็นเจ้าของปัญหา และ
เป็นผู้มีอำนาจอย่างเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหา
ด้วยเหตุนี้จังหวัดที่บังเอิญได้พนักงานเจ้าหน้าที่ดี
กฎหมายก็ถูกเลือก ใช้ไปในทางที่ดี
แต่จังหวัดที่พนักงานเจ้าหน้าที่เฉื่อยเนือย กฎหมายก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์
และจังหวัดที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบ กฎหมายประมงก็
ถูกเลือกใช้ไปในทางเอื้อประโยชน์กับการทำลายทรัพยากรทางทะเล
การที่กฎหมายศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัตินี่เอง
ทำให้มีการอ้างกันว่า กฎหมายดีอยู่แล้วแต่การปฏิบัติแย่
ซึ่งเป็นความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
ทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่
สามารถเลือกปฎิบัติตามกฎหมายประมงแตกต่างกันตามความชอบของบุคคล
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไป และเป็นประสบการณ์ซ้ำซาก
ได้สะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายนั่นเองที่ต้องได้รับการแก้ไข
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทะเลและทรัพยากรชายฝั่งมีจำนวนมาก
กฎหมายแต่ละฉบับต่างให้อำนาจหน่วยงานราชการแต่ละหน่วยงานมีอำนาจการจัดการเหนือพื้นที่ทะเล
ชายฝั่ง และเกาะตลอดจนการควบคุมจำนวนเรือ และเครื่องมือการประมง
เมื่อหน่วยงานราชการที่มีอำนาจต่างทำงานโดยกฎหมายต่างฉบับกัน
แต่บังคับในพื้นที่เดียวกัน
จึงเกิดความขัดแย้งและซ้ำซ้อนกันจนประชาชนโดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้าน
ซึ่งต้อง อยู่ภายใต้บังคับ ของกฎหมายไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้
นอกจากนี้ความซ้ำซ้อนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดช่องโหว่ของกฎหมายและประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาลดลงโครงสร้างอำนาจและกระบวนการปฏิบัติ
ตามกฎหมายนั้น
รวมศูนย์อำนาจใหญ่อยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กับกรมประมง ในฐานะเจ้าพนักงาน แต่การดูแลรักษาทะเลเป็นกิจการสาธารณะ
ซึ่งประชาชนควรเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนิน การ
แต่รัฐกลับมองว่าเป็นกิจการของหลวงประชาชนไม่เกี่ยว
ถ้าจะเกี่ยวต้องได้รับการอนุมัติหรือคำสั่งจากรัฐมนตรี
สังคมไทยจึงไม่สามารถระดมพลังของคนในสังคมให้เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาของชาติได้อย่างเป็นจริง
ประการสำคัญการรวมศูนย์อำนาจดังกล่าว
ทำให้กลุ่มหรือองค์กรชุมชนที่พยายามดูแลรักษาทรัพยากรชายฝั่งทะเล
หรือแหล่งน้ำสำหรับทำการประมงต่างๆนั้น
นอกจากไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว บางกรณีถูกตั้งข้อหาว่า
ทำเกินหน้าที่ของพลเมือง บางกรณีกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย
การอาสาของประชาชนเพื่อดูแลรักษาทะเล อาสาเพื่อทำความดีให้สังคม
ระบบกฎหมายที่กีดกัน และให้โทษกับผู้อาสาทำความดี
จึงไม่มีความชอบธรรม
และจะนำพาสังคมและประเทศไปสู่ปัญหา</font>