ประเพณีบุญบั้งไฟ ประวัติความเป็นมา ตั้งแต่อดีตมนุษย์มักจะตั้งรกราก ปักหลักปักฐานอยู่บริเวณลุ่มน้ำ อันเป็นทำเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อสืบสานชีวิต ให้อยู่รอดปลอดภัยให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ก่อนจะขยายเผ่าพันธุ์ออกไปตามที่ต่างๆ กลายเป็นสังคมใหญ่ออกไปตามสภาพสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ผู้คนกับสายน้ำจึงผูกพันกันมานาน จนอาจถือได้ว่าอารยธรรมจากลุ่มน้ำคือต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมต่างๆ ที่กระจายไปอยู่ทั่วทุกมุมโลกในปัจจุบันนี้ จังหวัดทางภาคอีสานส่วนใหญ่จะยึดมั่นในจารีตประเพณีตามที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ที่เรียกว่าฮีตสิบสองคลองสิบสี่ ประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ถือว่ามีความผูกพันกับชีวิตคือ ประเพณีงานบุญบั้งไฟ เพื่อขอเทพยดาให้บันดาลให้ฝนตกลงมาต้องตามฤดูกาล ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์จะได้ปักดำและเก็บเกี่ยวตามกำหนด เนื่องจากอาชีพเกษตรกรต้องฝากชีวิตและความหวังไว้กับน้ำฝนจากฟ้า หากปีใดฝนตกลงมาต้องตามฤดูกาล เกษตรกรซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ก็จะไม่เดือดร้อน แต่ถ้าฝนฟ้าตกลงมาไม่ถูกต้องตามฤดูกาลก็จะเกิดความแห้งแล้งกระจายไปทั่วและความเดือดร้อนขาดแคลนก็จะตามมา
การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟแต่โบราณนั้นมักจะนิยมจัดกันในเดือนพฤษภาคม หรือในเดือน 6 จึงเรียกว่างานบุญเดือนหก ซึ่งในภาคอีสานหลายจังหวัดจะมีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ประเพณีบุญบั้งไฟถือมาตั้งแต่ศาสนาพราหมณ์ยุคต้นเป็นประเพณีสืบต่อกันมาแสดงให้เห็นว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ์ที่สำคัญตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า“พระยาแถนเป็นเจ้าของฝนเป็นเทวดาผู้หนึ่งที่ควบคุมให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล หากทำการบูชาให้พระยาแถนพอใจ ท่านก็จะบันดาลให้ฝนตก จากเรื่องเล่ากล่าวไว้ว่า เมืองพระยาคันคาก ( คางคก ) เกิดความแห้งแล้ง ทำการสู้รบกับพระยาแถนไม่ได้จึงตกลงทำสัญญากันว่า จะทำบุญบั้งไฟถวายแถนทุกปี ถ้าไม่ทำหรือทำไม่ถูกใจก็จะทำให้ฝนไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล สัญญาที่พระยาคันคากให้ไว้แก่พระยาแถนคือ
“ ถึงเดือนห้าฟ้าใหม่ให้ทำบุญ และจัดทำอันใดให้เป็นการถวายพระยาแถนให้ทำพิธีการต่าง ๆ ถวายพระยาแถน ” บางตำนานเล่ากันว่า “ การทำบุญบั้งไฟเพื่อขอฝน ” มีนิยายปรัมปราอยู่เรื่องหนึ่งเล่าสืบต่อกันมาว่ามีเมืองชื่อ คีตนครพระยาผู้ครองเมืองคือพระยาขอมมีธิดาโฉมงามมากนางหนึ่งชื่อนาง ไอ่คำ เมื่อถึงเวลาสมควรที่จะมีคู่ครอง พระยาขอมจึงให้ธิดาเลือกคู่โดยให้บรรดาเจ้าชายที่หมายปองทำบั้งไฟมาแข่งกันถ้าบั้งไฟของใครขึ้นสูงก็แสดงให้เห็นว่า คนนั้นมีวาสนาสูง และจะได้นางไอ่คำเป็นรางวัล การแข่งขันครั้งนี้ผลปรากฏว่า ท้าวผาแดง เป็นผู้ชนะ การแข่งขันบั้งไฟ ซึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ได้มี ท้าวภังคีโอรสของพระยานาค ได้แปลงกายเป็น 2กระฮอกด่อน (กระฮอกด่อนหมายถึงกระรอกสีขาว)มาชมโฉมนางไอ่คำนางไอ่คำเห็นกระรอกด่อนอยากได้จึงให้บริวารไล่จับและ บริวารอีกคนหนึ่งได้ยิงกระรอกตายก่อนตายท้าวภังคีได้อธิษฐานว่า“หากใครก็ตามได้กินเนื้อของข้าพเจ้าเข้าไปแล้วขอ ให้ถึงแก่ชีวิต บ้านเมืองล่มจม ” ชาวเมืองได้กินเนื้อของกระรอกด่อนเกือบทุกคน จึงทำให้เกิดบ้านเมืองล่มจม กลายเป็นหนองน้ำ มีชื่อเรียกว่าหนองหาน มาตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนท้าวผาแดงพานางไอ่คำหนี แต่หนีไม่พ้น เนื่องจากนางไอ่คำก็ได้กินเนื้อของกระรอกด่อนเข้าไปด้วย จึงถูกแผ่นดินถล่มถึงแก่ชีวิตทั้งสอง ด้วยคุณงามความดีของท้าวผาแดงที่ประกอบไว้ เมื่อตายไปจึงได้เป็นเทพบุตรที่มีอำนาจคุ้มฟ้าบนสวรรค์ ดังนั้นก่อนถึงฤดูกาลทำนา ชาวอีสานจึงบุญบั้งไฟเพื่อขอฝน การจัดประเพณีบุญบั้งไฟ การทำบุญบั้งไฟของชาวบ้านเป็นการทำบุญชนิดหนึ่งซึ่งเป็นวิธีขอฝนและเป็นการทำบุญที่ประกอบด้วยความสนุกสนานรื่นเริงประจำปีมากกว่าที่จะทำการกุศลจริง ตั้งแต่เริ่มงานจนถึงเสร็จงานใช้เวลาประมาณ 3 วัน แต่ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็น 4 หรือ 5 วัน เนื่องจากมีบั้งไฟเข้าทำการแข่งขันประมาณ 200 – 300 บั้ง ทางคณะกรรมการจึงได้เพิ่มวันจุดขึ้น ในงานมีการละเล่นสนุกสนานร้องรำทำเพลงกันเป็นคุ้ม ๆ เป็นหมู่บ้าน งานประเพณีบุญบั้งไฟนี้มีประจำทุกปี โดยงานนี้จะจัดขึ้นทุกปีระหว่างเดือน 6 คือ ในวันขึ้น 14 – 15 ค่ำแรม 1 -2 ค่ำของเดือน 6 การถ่ายทอด วิธีการทำบั้งไฟ ส่วนประกอบแยกออกเป็น 2 ส่วนดังต่อไปนี้ 1. ส่วนที่เป็นดินปืน ประกอบไปด้วย - ถ่าน (ทำจากไม้สะคางคล้ายต้นเปลือย) - ดินประสิว - น้ำ - ตัวบั้งไฟ - ท่อ พีวีซี หรือท่อเหล็ก - ไม้ไผ่ (สำหรับทำหาง) 2. ขนาดของบั้งไฟในปัจจุบัน
มี 3 ขนาดคือ
1. บั้งไฟขนาดเล็ก บรรจุดินประสิวไม่เกิน 12 กิโลกรัม 2. บั้งไฟขนาดกลาง เรียกว่า บั้งไฟหมื่น ใช้ดินประสิวตั้งแต่ 12 กิโลกรัมขึ้นไป
3. บั้งไฟขนาดใหญ่ เรียกว่า บั้งไฟแสน บรรจุดินประสิว 120 กิโลกรัม ขั้นตอนการทำบั้งไฟ
1. การทำดินปืนโดยนำถ่านและดินประสิวมาผสมให้เข้ากันเติมน้ำลงไปเล็กน้อย
2. นำดินปืนที่ได้อัดลงในท่อที่เป็นตัวบั้งไฟให้แน่พอสมควร บั้งไฟธรรมดาจะอัดดินปืนลงไป 34 ชัด
( 1 ชัด = 3 ขีด) ส่วนบั้งไฟหมื่นจะใช้ดินปืน 54 ชัดสำหรับบั้งไฟแสนและบั้งไฟล้าน
3. จากนั้นนำหางบั้งไฟไปต้มน้ำจนเดือดเพื่อทำให้หางเบาไม่ถ่วงตัวบั้งไฟเวลาจุด
4. นำตัวบั้งไฟและส่วนหางมาผูกติดกันจากนั้นตกแต่งให้สวยงามเป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
นายสิทธิชัย บุญเอก รหัสประจำตัวนักศึกษา 4930123104843