ปัญญาเป็นตาน้ำที่มีน้ำผุดขึ้นมาจาก “ศีล”
ปัญญาเป็นตาน้ำที่มีน้ำผุดขึ้นมาจาก “สมาธิ”
เมื่อมีศีลส่งจิตว่าง
ผนวกสมาธิเสริมจิตว่าง
ตาน้ำที่มีน้ำผุดพรั่งพรูหลั่งไหลออกมา เป็นต้นตอ ต้นกำเนิดแห่งสายน้ำ
ต้นตอต้นกำเนิดแห่งสายน้ำนั้น ไร้มลพิษ ปราศสิ่งเจือปน
มลพิษ สิ่งเจือปนนั้นหนอคือ “กิเลส”
กิเลสจะไม่สามารถเจือปนอยู่ในปัญญาได้เพราะมีศีลเป็นเครื่องกั้นอยู่ฉันใด
สมาธิช่วยตั้งสติให้เป็นพลังผลักดันกิเลสและอกุศลที่จะกำเนิดเกิดขึ้นทั้งกาย วาจา ใจ อย่างหมดจด ฉันนั้น
ความรู้ที่มีกิเลสเจือปน
ก็เปรียบเสมือนมีความร้อน มีไฟคอยเผารุม
สาดส่อง แผดเผา น้ำในตุ่มที่มีอยู่นั้นให้แห้งเหือด ระเหิด กลายเป็นไอพร่องลง หายไปได้ฉันใด
ครั้งเมื่อเรายิ่งเพียรตักน้ำใส่ลงในตุ่มที่มีกิเลสคอยเผารุมอยู่ ยิ่งตั้งนานเท่าใด ก็ยิ่งหนัก ยิ่งเหนื่อย ยิ่งใส่ ยิ่งหาย ยิ่งตัก ยิ่งระเหิด ฉันนั้น
“ ศีล” เป็นสิ่งป้องกันไฟกิเลส
“สมาธิ” เป็นเครื่องดับไฟกิเลสนั้น
เมื่อเติม “ศีล” เข้าไปในความรู้
เสริมพลัง “สมาธิ” ผนวกกับความรู้เข้าไป
นอกเสียจากที่น้ำในตุ่มนั้น จะไม่หดหายแห้งไปด้วยไฟแห่งกิเลสที่คอยเผาผลาญแล้วไซร้
น้ำหรือการกระทำดีนั้นคือกุศลธรรมที่เราเพียรทำหรือตักใส่ตุ่มอยู่ทุก ๆ ลมหายใจนั้น ก็จะเริ่มเพิ่มขึ้น ขยับระดับสูงขึ้น ๆ จากก้น สู่กลาง จากกลางสู่ปริ่ม จากปริ่มสู่เต็ม เมื่อเต็มแล้วจึงล้นออกมาเฉกเช่นดั่ง “ตาน้ำ”
ความรู้ที่เต็มไร้โทษและสร้างประโยชน์ให้กับตนเองได้มากฉันใด
ความรู้ที่ล้นทะลักออกมานั้น ยิ่งสร้างประโยชน์ให้กับสรรพสิ่งได้อย่างอเนกอนันต์ ฉันใดก็ฉันนั้น.....
ไม่มีความเห็น