ภูมิปัญญาท้องถิ่น


นางสาวสุนีรัตน์ สีหะวงค์

รหัส 4930123105207 

การทอเสื่อด้วยต้นกก

ต้นกกมีอยู่ในชมชนในท้องถิ่นของเราเอง ต้นชอบอยู่ในพื้นที่ที่ชุ่มชื่น มีนำไหลผ่านอยู่เล็กน้อย จะทำให้ลำต้นของต้นกกยาว วิธีการปลูก เราจะนำยอดของต้นที่แก่พอประมาณแล้วไปปลูกจะทำให้ต้นกกที่แพร่ออกมามีหลายต้น หรือที่เรียกว่า กอใหญ่ การที่เราจะนำต้นกกไปทอเสื่อต้องมีอายุประมาณ 1 ปีขึ้นไป เพราะจะได้เสื่อที่ทนทาน วิธีการทอเสื่อมีวิธีการต่อไปนี้ นำต้นกกไปผ่าเอาไส้ที่อยู่ข้างในลำต้นกกออก แล้วนำไปตากแดดให้แห้งประมาณ 1 อาทิตย์ ห้ามให้โดนน้ำหมอก เพราะอาจทำให้เฉา หลังจากนั้นเราก็นำไปย้อมสีตามต้องการแล้วตากแดดให้แห้ง หลังจากนั้นก็นำไปล้างน้ำสะอาดแล้วนำไปตากแดดอีก 2-3 วัน แล้วนำไปเก็บในที่แห้งพร้อมป้องกันเชื้อรา ถ้าหากต้นกกเป็นเชื้อราแล้วเวลานำไปทอแล้วจะทำให้ต้นกกไม่มีคุณภาพ ทำให้ขาดได้ง่าย และเวลาเรานำเสื่อไปขายก็จะขายได้ราคาถูก ราคาในรูปแบบที่สมบูรณ์แล้วจะอยู่ที่ผืนละ 70-80 บาท ก็สามารถทำเป็นรายได้เสริมให้กับประชาชนในท้องถิ่นได้             นายสุธาวุธ   พงษ์เสน่ห์รหัส 4930123105221 

ถั่วคั่วทราย

วัตถุดิบที่ใช้ ได้แก่ ถั่วลิสงฝักแก่ ล้างทำความสะอาด ตากแดดให้แห้งคัดฝักที่สมบูรณ์ มีขนาดใกล้เคียงกัน ไม่แตกหัก

อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต มีดังนี้

1.      กระทะใบใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 60 เซนติเมตร2.      ไม้พายสำหรับคนถั่วทำด้วยไม้ยาวพอประมาณ3.      เตาที่ปั้นด้วยดิน หรือเตาแก๊ส4.      ตระแกรงที่สานด้วยไม้ไผ่ สำหรับร่อนทรายออกจากถั่ว5.      กระด้งสำหรับใส่ถั่วที่คั่วสุกแล้ว6.      ตราชั่งสำหรับชั่งถั่วบรรจุ7.      ถุงอย่างหนา ขึ้นอยู่ขนาดราคา8.      เครื่องรีดถุง9.      ตะกร้าสำหรับใส่ถุงที่รอปิด

ขั้นตอนวิธีการผลิต

1.   นำถั่วลิสงที่แก่จัดไปล้างทำความสะอาดโดยการล้างให้สะอาด แล้วนำมาตากแดดให้แห้งเป็นเวลา 7 วัน หรือถ้าถั่วลิสงแห้งดีแล้วจึงเก็บใส่ถุง2.      นำถั่วที่ตากแห้งแล้วนำไปคัดเลือกฝักที่สมบูรณ์ ไม่แตกหักฝักเสมอกัน3.      ถั่วลิสงที่คัดไว้แล้วนำมาคั่วกับทราย โดยใช้ไม้พายคนให้ทั่ว และสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้ฝักของถั่วลิสงไหม้4.   เมื่อถั่วสุกแล้วยกกระทะเทลงใส่ตระแกรง ร่อนทรายออกคงเหลือฝักถั่วลิสงไว้ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝักถั่ว เพื่อทำความสะอาด แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นจึงเก็บใส่ถุงพลาสติกที่อากาศเข้าไม่ได้ เพราะจะทำให้ถั่วลิสงเหนียว ไม่กรอบ5.   ขั้นตอนการบรรจุ โดยใช้การชั่งนำหนักให้ปริมาณแต่ละถุงเท่ากัน และทำการปิดถุงโดยเครื่องรีดถุง พร้อมที่จะจำหน่ายออกสู่ท้องตลาด ตามจำนวนความต้องการของลูกค้าที่สั่งซื้อ                                                                                                นายทศวรรษ  สีหะวงค์รหัส 4930123105232 

การเลี้ยงวัวพันธุ์ ฮินดรูบลาซิล

            ข้าพเจ้าได้เลี้ยงวัวมาเกือบ 15 ปีแล้ว ข้าพเจ้าเลี้ยงวัวเกือบทุกสายพันธุ์ ตั้งแต่วัวพันธุ์พื้นเมือง วันพันธุ์เนื้อหรือพันธุ์ชาโรเล่ย์ รวมทั้งพันธุ์ฮินดรูบลาซิล ซึ่งข้าพเจ้าเลี้ยงอยู่ในปัจจุบัน มีทั้งหมด 7 ตัว โดยเป็นเพศเมียทั้งหมด และกำลังตั้งท้องอยู่ 2 ตัว ส่วนพ่อพันธุ์นั้นคือ คุณบอย อุบล โดยข้าพเจ้าใช้วิธีการแบบผสมเทียม อาชีพการเลี้ยงวัวนั้นเป็นอาชีพเสริมของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าชอบมาก เพราะเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ส่วนอาชีพหลักของข้าพเจ้าคือ เป็นลูกจ้างของรัฐ            วิธีการเลี้ยงวัว            ก่อนข้าพเจ้าออไปทำงาน ข้าพเจ้าก็จะเกี่ยวหญ้าหรือตัดหญ้าใส่รางหญ้าไว้ ให้พวกมันกิน และเอาน้ำใส่ไว้ให้พวกมันกินตัวละถัง พอตอนเย็นก็ตัดหญ้าใส่รางไว้ให้พวกมันกินอีกทีหนึ่ง แล้วเสริมด้วยรำละเอียดหรือหัวอาหาร รวมทั้งเกลือแร่ให้แม่โคกิน บางครั้งข้าพเจ้าจะเอาพวกมันอาบน้ำเช็ดตัวให้แม่โคหรือปล่อยให่แม่โคหากินหญ้าเองบ้าง ถ้าเลี้ยงอย่างนี้เราจะได้แม่โคที่มีสีสวย ได้ราคาเป็นที่ต้องการของท้องตลาดอย่างยิ่ง หากท่านใดสนใจ อยากได้วัวพันธุ์ฮินดรูบลาซิลไปเลี้ยงติดต่อได้ที่ คุณทศวรรษ สีหะวงค์ บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 6 ตำบลนาพึง อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย 42170 โทรศัพท์ 042-897186 ได้ทุกเวลาครับ    

  นางสายพิญ สีหะวงค์รหัส 4930123105210 

การเลี้ยงหมู

            ข้าพเจ้าเลี้ยงหมูมาได้ 10 ปีแล้ว โดยการเลี้ยงหมูพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ โดยการขยายพันธุ์ลูกหมูเอง ไม่ต้องซื้อลูกหมูจากที่อื่น ปัจจุบันข้าพเจ้าเลี้ยงหมูพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์และหมูขุน รวมทั้งหมด 39 ตัว รายได้ส่วนใหญ่ในครอบครัวได้มาจากการเลี้ยงหมูขาย แต่อาชีพเลี้ยงหมูของข้าพเจ้าในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาราคาอาหารหมู่ที่แพงขึ้น เมื่อราคาอาหารหมู่แพงขึ้น ต้นทุนการเลี้ยงหมูก็สูงขึ้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดจะเลิกเลี้ยงหมูเลย เพราะข้าพเจ้าคิดเสมอว่า เป็นการฝากเงินไว้กับหมูนั่นเอง

            วิธีการเลี้ยงหมู

            หมูพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ การให้อาหารใช้รำผสมกับหัวอาหารหมูไฮโกร 150 s  ในอัตราส่วนรำ 1 ถัง ต่ออาหารหมู 1 จาน การเลี้ยงหมูในตอนเช้าและตอนเย็นวันละ 2 เวลา            หมูขุน การให้อาหาร 1-2 เดือนแรก ใช้หัวอาหารหมูไฮโกร 551 และไฮโกร 552 ซึ่งเป็นหัวอาหารเม็ดตามลำดับ แต่จำนวนถุงของหัวอาหารหมูต้องครบตามจำนวนหมู เช่น หมู 10 ตัว เราก็ต้องให้หัวอาหารหมู 551 และ 552 อย่างละ 10 ถุง พอเดือนที่ 3-5 ใช้หัวอาหารหมูไฮโกร 150s ซึ่งเป็นอาหารญี่ปุ่น ผสมกับรำ ในอัตราส่วนรำ 1 ถัง ต่ออาหารหมู 2 จาน การเลี้ยงหมูขุน เราเลี้ยงเป็นเวลาเหมือนพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ แต่การให้อาหารหมูขุนนั้น เราจะนำอาหารหมูใส่ไว้ในถังจนเต็ม ซึ่งหมูจะสามารถหมุนอาหารกินได้เองตลอดเวลาทั้งวัน และคืน เพื่อเร่งให้หมูโตเร็ว และพร้อมที่จะขายให้แก่เขียงหมูเร็วขึ้น      นางสาวสุภาวดี สุทธิรหัส 4930123105226 

การทอผ้าถุงมัดหมี่พื้นบ้าน

            เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เครื่องแต่งกายเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ไทยอีกอย่างหนึ่ง เริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม สมัยก่อน ปู่ ย่า ตา ยาย มีการปลูกฝ้าย มีการเลี้ยงไหมมาจนถึงปัจจุบันนี้ เราสามารถนำเส้นใยจากพืชและขนสัตว์มาทอเป็นผ้าซึ่งได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีการตัดเย็บจัดทำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มในลักษณะต่างๆ และได้นำเส้นใยมาย้อม มาทอเป็นผืนผ้า โดยมีเทคนิควิธีการทำ อุปกรณ์ การออกแบบ ฯลฯ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชนกลุ่ม ล้วนเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากภูมิปัญญาของเราเอง ทำให้เราสามารถผลิตเครื่องนุ่มห่ม โดยการใช้วัตถุดิบพื้นบ้านของเราเอง และมีเสื้อผ้าที่สวยใช้ในการแต่งกายอย่างเหมาะสมกับสภาพอากาศของบ้านเรา ทั้งยังสวมใส่สบายและมีความปราณีตงดงาม

               นายตามฉันท์  สุทธิรหัส4930123105227 การตีเหล็ก

            การบริหารจัดการองค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน เรื่องการตีเหล็ก การตีเหล็ก เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย สืบทอดมาสู่รุ่นลูกหลาน และจะสืบทอดต่อๆไป ถ้าเรายังคงช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้

            วิธีและขั้นตอนในการตีเหล็ก เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือในการตีเหล็ก มีดังนี้ ฆ้อง ทั่ง (ฆ้อง 8 ปอนด์) ครีม เต่า และสูบในการเปล่งลมใส่ไฟ เพื่อทำให้เหล็กแดง เพื่อนำมาตีให้สิ่งที่เราตีนั้นคมขึ้น สิ่งที่เราตีก็ได้แก่ มีด พร้า จอบ เสียบ หรือ สิ่งที่เป็นเหล็กทั้งหลาย  แต่สมัยนี้ได้มีวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ คือ สูบก็เปลี่ยนมาเป็น เครื่องเปล่งลมไฟฟ้า มาแทนสูบไม้ธรรมดา

            การตีเหล็กเป็นอาชีพเสริม หรือจะยึดเป็นอาชีพหลักก็ได้ แต่ชาวบ้านในชนบทจะทำเพื่อเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น ซึ่งในชนบทมีอาชีหลักคือ ทำไร่ ทำนา ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้มีช่างตีเหล็กขึ้น เพราะอุปกรณ์ที่เราใช้ทำในการเกษตรล้วนเป็นเหล็ก และเวลาที่เราทำงานอุปกรณ์ทุกอย่างต้องคม และเมื่ออุปกรณ์ไม่คม คนในชุมชนก็จะนำอุปกรณ์ซึ่งได้แก่ มีด จอบ เสียบ ที่ไม่คม (หรือคนชุม) จะนำมาให้ช่างตีเหล็กตี แต่ช่างตีเหล็กจะตีเฉพาะวันพระเท่านั้น ถ้าวันพระตรงกับวันอาทิตย์ช่างตีเหล็กจะไม่ดี เพราะเป็นวันกล้า (หรือตีก็จะไม่ชุม)

            การตีเหล็กเป็นองค์ความรู้และภูมิปัญญาอย่างแท้จริง        นางอรัญญา  กมลรัตน์รหัส 4930123105229 การนวดไทย

                   1. ท่านอนหงาย เริ่มจาก นวดฝ่าเท้า 3 แนว กดจุดสัญญาณตาตุ่ม นวดขาด้านใน 2 แนว เซาะหลังเท้า กดสัญญาณข้อเท้า นวดขาด้านนอก 3 แนว สาวน่อง พับเข่าใส่ศอก พับขาไก่ เหยียดขาลง แบะปลายเท้า เปิดประตูลม กดไว้ 40-60 นาที กดปลายเท้า ยกปลายเท้า เซาะปลายเท้า นวดแขนด้านใน 1 แนวและแขนด้านนอก 1 แนว นวดฝ่ามือ หลังมือ นวดอีกข้างเหมือนกัน

                   2. ท่านอนตะแคง เริ่มจาก นวดฝ่าเท้า 2 แนว กดจุดเท้าสะเอว นวดขาด้านใน 2 แนว ขาด้านนอก 2 แนว กดจุดสลักเพชร นวดหลัง 2 แนว กดจุดเท้าสะเอว นวดอีกข้างเหมือนกัน

3.  นวดท่านอนคว่ำ เริ่มจาก นวดฝ่าเท้า 2 แนว กดส้นเท้าชิดกัน กดปลายเท้าชิดกกัน พับขาเป็นเลข 4 ใช้อุ้งมือนวดแนวขาด้านนอกจากขาท่อนล่าง กดไป 3-4 อุ้งมือ ให้บริเวณหัวเข่านวดขาท่อนบน และย้อนกลับมาสู่ท่าเดิมนับเป็น 1 ทำ 3 รอบ เหยียดขาผู้ถูกนวดลง นวดเส้นเอ็นร้อยหวายเว้นบริเวณเข่า นวดไปถึงบริเวณก้นย้อย แล้วนวดกลับมาที่เดิม ทำ 3 รอบ กดจุดสลักเพชร นวดแนวเส้นหลัง 2 แนว โดยการนวดขึ้น นวดลง ทำซ้ำ 3 รอบ แล้วนวดอีกข้าง เมื่อนวดเสร็จทั้งสองข้างแล้ว กดส้นเท้าของผู้ถูกนวดทั้ง 2 ข้าง ชิดก้นย้อย กดปลายเท้า ของผู้ถูกนวดทั้ง 2 ข้าง ชิดก้นย้อย พับขาเป็นเลข 4 ผู้นวด ใช้จับหัวเข่าแล้วยกตัวของผู้ถูกนวดขึ้น สลับซ้ายขวา

4.  ท่านอนหงายไปสู่ท่านั่ง เริ่มจาก ยกขาของผู้ถูกนวดทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงขึ้นโดยผู้ถูกนวดเอามือทั้ง 2 ข้าง กดไว้ที่หน้าขา ผู้นวดกดขาผู้ถูกนวดไปข้างหน้า พับขาเป็นเลข 4 นวดฝ่าเท้า 2 แนว ผู้นวดใช้เข่ากดขาท่อนบน ทำ 3 จุด ทำอีกข้างเหมือนกัน แล้วพับขาของผู้ถูกนวดหากันในท่านั่งขัดสมาธิ ดึงแขนผู้ถูกนวดลุกขึ้น  นวดพื้นฐานบ่าโดยใช้น้ำหนัก 50, 70, 90 นวดบ่าอีกข้างนวดโค้งคอทั้ง 2 ข้าง กดจดศีรษะหลัง สัญญาณ 1, 2, 5 กดจุดศีรษะบน 3 จุด

                                                                               นางพัฒนา วงศา                                                                             รหัส 4930123105327 แจ่วดำน้ำผักสะทอน

            แจ่วดำน้ำผักสะทอนถ้าถามคนแถวจังหวัดเลย ต้องรู้จักทันที และต้องรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาทันที เพราะเป็นอาหารหลักของคนเมืองเลยอีกอย่างหนึ่งเลยก็ก็ว่าได้ ถ้าได้ทานแล้วรับรองว่าทุกคนจะต้องติดอกติดใจในรสชาติแน่ๆ เพราะมีวิธีการทำที่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากและไม่เสียเวลาในการทำ และเป็นสินค้า OTOP ที่ขายดีมากๆ เลย

            แจ่วดำเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้เลยของชาวบ้านที่ใช้ทานกับผักลวก ไก่ย่าง ทอดเนื้อ และหลามปลาไหลใส่บั้ง จะทำให้มีรสชาติที่หอมหวานมาก และเป็นราคาขายที่สุดแสนจะประหยัดจริงๆ ในยุคนี้สมัยนี้ เราทำขายในกล่องละ 10 บาทเท่านั้นเอง

            การทำแจ่วดำน้ำผักสะทอน ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ส่วนประกอบก็มีพริกแห้ง กระเทียม เกลือ น้ำปลา น้ำตาล  ที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ น้ำผักสะทอน การทำน้ำผักสะทอนนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมานานมากเลย ข้าพเจ้าจะเล่าให้อ่านก่อน น้ำผักสะทอนนี้เราทำได้เพียงปีละ 2-3 เดือนเท่านั้นเอง เพราะเราต้องเอาตอนฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน ใบสะทอนก็จะแตกยอกอ่อน 4-5 ใบ เราก็จะไปเก็บเอามาตำให้ละเอียด โดยใช้ครกใหญ่ตำให้ละเอียด แล้วนำไปแช่น้ำไว้ประมาณ 2 คืน ตอนแช่ต้องกลับใบสะทอนด้วย พอ 2 คืนแล้ว เราก็ปั้นเอาเอาใบออกให้เหลือแต่นำ เราควรกรองน้ำสะทอนด้วยผ้าขาวบาง เพราะถ้าเราไม่กรองน้ำจะเป็นตะกอน จากนั้นก็นำไปต้ม เวลาที่เราต้มต้องหมั่นตักฟองออกให้หมด จากนั้นก็เคี่ยวให้แห้ง เราแช่น้ำสะทอน 1 โอ่ง เวลาต้มเสร็จเราจะได้น้ำผักสะทอน  ประมาณ 4-5 ขวดน้ำปลา น้ำสะทอนที่เราเคี่ยวจะเป็นที่สีดำ นำมาใส่ขวดเก็บไว้ 2-3 ปี

            วิธีการทำแจ่วดำ นำพริกแห้งมาตัดขั้วออกแล้วนำมาคั่วด้วยไฟอ่อนๆ ให้เหลืองกรอบ แล้วนำมาตำให้ละเอียด นำกระเทียมตำใส่ให้ละเอียดเหมือนกัน แล้วนำเกลือ น้ำปลาน้ำตาลใส่ลงไป ถ้าชอบหวานก็ใส่มาก ตำให้เข้ากันดีแล้ว หลังจากนั้นก็เอานำผักสะทอนใส่ลงไปทีละช้อน ตำไปเรื่อยๆ ใส่น้ำผักสะทอนตำให้แจ่วมีสีดำ และมีความเหนียวและมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน

            การทำน้ำพริก ต้องไม่คั่วพริกไหม้ น้ำผักต้องมีสีดำ และมีกลิ่นหอม ถ้าคนชอบกลิ่นแมงดาก็สามารถหยดหัวแมงดาใส่ลงไปได้ ถ้าเก็บไว้ในกระปุก จะสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 2-3 เดือน

            แจ่ดำน้ำผักสะทอนจึงเป็นสินค้าสำคัญที่สร้างเศรษฐกิจให้แก่กลุ่มแม่บ้านมีาอาชีพ มีงานทำ สร้างงาน สร้างรายได้ เสริมให้แก่ครอบครัว ที่ดีเป้นอย่างมาก และมีการประหยัด ทำให้ไม่ต้องซื้อกินอีกด้วย จุดขายก็คือ ส่งตามรถกับข้าว ถ้าสนใจก็สั่งซื้อได้ที่ บ้านเลขที่ 41 หมู่ที่ 8 ตำบลนามาลา อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย หรือโทร 089 5730265                                                                                                                     นายอาทิตย์ ชานุวัตร                                                                                                รหัส 4930123105239ยาสมุนไพร

            ยาสมุนไพร คือ ยาที่หาได้จากธรรมชาติ และพบทั่วไปในป่าหรือตามชุมชน ก่อนที่คนจะรู้จักสมุนไพร ทุกคนต้องมีการศึกษาสรรพคุณของสมุนไพรก่อน เนื่องจากสมัยก่อนนั้นไม่มีโรงพยาบาล จึงมีการใช้ยาที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ที่เรียกว่า ยาสมุนไพรคนในสมัยก่อนนั้นจะมีการใช้ยาสมุนไพรโดยไม่มีการปรุงแต่งแต่อย่างไร จะใช้ภูมิปัญญาของตัวเองทั้งนั้น ยาสมุนไพรที่คนในสมัยก่อนใช้ก็ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ เป็นต้น ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้พบทั่วไปในชุมชน และทุกคนก็ได้นำประกอบอาหาร ซึ่งหารู้ไม่ว่าสมุนไพรเหล่านี้ก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งในสมัยนี้ก็ได้มีวิวัฒนาการเปลี่ยนไปได้มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการแปรรูป ให้เป็นยาสมุนไพรที่สามารถเก็บไว้ได้นาน

            ตัวอย่างสมุนไพร

            ข่า

ชื่อท้องถิ่น         ข่าตาแดง  ข่าหยวก (ภาคเหนือ)

ลักษณะของพืช

                ข่ามีลำต้นที่อยู่ใต้ดิน เรียกว่า เหง้าเหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน เนื้อในสีเหลือง และมีกลิ่นหอมเฉพาะลำต้นที่อยู่เหนือดินสูงได้ถึง ๒ เมตร ใบสีเขียวออกสลับข้างกัน รูปร่างรียาว ปลายแหลม ดอกออกเป็นช่อที่ยอดดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีขาวนวล ด้านในของกลีบดอกมีประสีแดงอยู่ด้านหนึ่ง ผลเปลือกแข็งรูปร่างกลมรี

ส่วนที่ใช้เป็นยา

                เหง้าแก่ สด หรือแห้ง

ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา

                ช่วงเวลาที่เหง้าแก่

รสและสรรพคุณยาไทย

                เหง้าข่า รสเผ็ดปร่า ขับลม แก้บวม ฟกช้ำ 
หมายเลขบันทึก: 137434เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2007 13:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 17:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท