เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เครื่องแต่งกายเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ไทยอีกอย่างหนึ่ง เริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม สมัยก่อน ปู่ ย่า ตา ยาย มีการปลูกฝ้าย มีการเลี้ยงไหมมาจนถึงปัจจุบันนี้ เราสามารถนำเส้นใยจากพืชและขนสัตว์มาทอเป็นผ้าซึ่งได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีการตัดเย็บจัดทำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มในลักษณะต่างๆ และได้นำเส้นใยมาย้อม มาทอเป็นผืนผ้า โดยมีเทคนิควิธีการทำ อุปกรณ์ การออกแบบ ฯลฯ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชนกลุ่ม ล้วนเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากภูมิปัญญาของเราเอง ทำให้เราสามารถผลิตเครื่องนุ่มห่ม โดยการใช้วัตถุดิบพื้นบ้านของเราเอง และมีเสื้อผ้าที่สวยใช้ในการแต่งกายอย่างเหมาะสมกับสภาพอากาศของบ้านเรา ทั้งยังสวมใส่สบายและมีความปราณีตงดงาม
นายตามฉันท์ สุทธิรหัส4930123105227 การตีเหล็กการบริหารจัดการองค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน เรื่องการตีเหล็ก การตีเหล็ก เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย สืบทอดมาสู่รุ่นลูกหลาน และจะสืบทอดต่อๆไป ถ้าเรายังคงช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้
วิธีและขั้นตอนในการตีเหล็ก เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือในการตีเหล็ก มีดังนี้ ฆ้อง ทั่ง (ฆ้อง 8 ปอนด์) ครีม เต่า และสูบในการเปล่งลมใส่ไฟ เพื่อทำให้เหล็กแดง เพื่อนำมาตีให้สิ่งที่เราตีนั้นคมขึ้น สิ่งที่เราตีก็ได้แก่ มีด พร้า จอบ เสียบ หรือ สิ่งที่เป็นเหล็กทั้งหลาย แต่สมัยนี้ได้มีวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ คือ สูบก็เปลี่ยนมาเป็น เครื่องเปล่งลมไฟฟ้า มาแทนสูบไม้ธรรมดา
การตีเหล็กเป็นอาชีพเสริม หรือจะยึดเป็นอาชีพหลักก็ได้ แต่ชาวบ้านในชนบทจะทำเพื่อเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น ซึ่งในชนบทมีอาชีหลักคือ ทำไร่ ทำนา ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้มีช่างตีเหล็กขึ้น เพราะอุปกรณ์ที่เราใช้ทำในการเกษตรล้วนเป็นเหล็ก และเวลาที่เราทำงานอุปกรณ์ทุกอย่างต้องคม และเมื่ออุปกรณ์ไม่คม คนในชุมชนก็จะนำอุปกรณ์ซึ่งได้แก่ มีด จอบ เสียบ ที่ไม่คม (หรือคนชุม) จะนำมาให้ช่างตีเหล็กตี แต่ช่างตีเหล็กจะตีเฉพาะวันพระเท่านั้น ถ้าวันพระตรงกับวันอาทิตย์ช่างตีเหล็กจะไม่ดี เพราะเป็นวันกล้า (หรือตีก็จะไม่ชุม)
การตีเหล็กเป็นองค์ความรู้และภูมิปัญญาอย่างแท้จริง นางอรัญญา กมลรัตน์รหัส 4930123105229 การนวดไทย1. ท่านอนหงาย เริ่มจาก นวดฝ่าเท้า 3 แนว กดจุดสัญญาณตาตุ่ม นวดขาด้านใน 2 แนว เซาะหลังเท้า กดสัญญาณข้อเท้า นวดขาด้านนอก 3 แนว สาวน่อง พับเข่าใส่ศอก พับขาไก่ เหยียดขาลง แบะปลายเท้า เปิดประตูลม กดไว้ 40-60 นาที กดปลายเท้า ยกปลายเท้า เซาะปลายเท้า นวดแขนด้านใน 1 แนวและแขนด้านนอก 1 แนว นวดฝ่ามือ หลังมือ นวดอีกข้างเหมือนกัน
2. ท่านอนตะแคง เริ่มจาก นวดฝ่าเท้า 2 แนว กดจุดเท้าสะเอว นวดขาด้านใน 2 แนว ขาด้านนอก 2 แนว กดจุดสลักเพชร นวดหลัง 2 แนว กดจุดเท้าสะเอว นวดอีกข้างเหมือนกัน
3. นวดท่านอนคว่ำ เริ่มจาก นวดฝ่าเท้า 2 แนว กดส้นเท้าชิดกัน กดปลายเท้าชิดกกัน พับขาเป็นเลข 4 ใช้อุ้งมือนวดแนวขาด้านนอกจากขาท่อนล่าง กดไป 3-4 อุ้งมือ ให้บริเวณหัวเข่านวดขาท่อนบน และย้อนกลับมาสู่ท่าเดิมนับเป็น 1 ทำ 3 รอบ เหยียดขาผู้ถูกนวดลง นวดเส้นเอ็นร้อยหวายเว้นบริเวณเข่า นวดไปถึงบริเวณก้นย้อย แล้วนวดกลับมาที่เดิม ทำ 3 รอบ กดจุดสลักเพชร นวดแนวเส้นหลัง 2 แนว โดยการนวดขึ้น นวดลง ทำซ้ำ 3 รอบ แล้วนวดอีกข้าง เมื่อนวดเสร็จทั้งสองข้างแล้ว กดส้นเท้าของผู้ถูกนวดทั้ง 2 ข้าง ชิดก้นย้อย กดปลายเท้า ของผู้ถูกนวดทั้ง 2 ข้าง ชิดก้นย้อย พับขาเป็นเลข 4 ผู้นวด ใช้จับหัวเข่าแล้วยกตัวของผู้ถูกนวดขึ้น สลับซ้ายขวา
4. ท่านอนหงายไปสู่ท่านั่ง เริ่มจาก ยกขาของผู้ถูกนวดทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงขึ้นโดยผู้ถูกนวดเอามือทั้ง 2 ข้าง กดไว้ที่หน้าขา ผู้นวดกดขาผู้ถูกนวดไปข้างหน้า พับขาเป็นเลข 4 นวดฝ่าเท้า 2 แนว ผู้นวดใช้เข่ากดขาท่อนบน ทำ 3 จุด ทำอีกข้างเหมือนกัน แล้วพับขาของผู้ถูกนวดหากันในท่านั่งขัดสมาธิ ดึงแขนผู้ถูกนวดลุกขึ้น นวดพื้นฐานบ่าโดยใช้น้ำหนัก 50, 70, 90 นวดบ่าอีกข้างนวดโค้งคอทั้ง 2 ข้าง กดจดศีรษะหลัง สัญญาณ 1, 2, 5 กดจุดศีรษะบน 3 จุด
นางพัฒนา วงศา รหัส 4930123105327 แจ่วดำน้ำผักสะทอนแจ่วดำน้ำผักสะทอนถ้าถามคนแถวจังหวัดเลย ต้องรู้จักทันที และต้องรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาทันที เพราะเป็นอาหารหลักของคนเมืองเลยอีกอย่างหนึ่งเลยก็ก็ว่าได้ ถ้าได้ทานแล้วรับรองว่าทุกคนจะต้องติดอกติดใจในรสชาติแน่ๆ เพราะมีวิธีการทำที่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากและไม่เสียเวลาในการทำ และเป็นสินค้า OTOP ที่ขายดีมากๆ เลย
แจ่วดำเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้เลยของชาวบ้านที่ใช้ทานกับผักลวก ไก่ย่าง ทอดเนื้อ และหลามปลาไหลใส่บั้ง จะทำให้มีรสชาติที่หอมหวานมาก และเป็นราคาขายที่สุดแสนจะประหยัดจริงๆ ในยุคนี้สมัยนี้ เราทำขายในกล่องละ 10 บาทเท่านั้นเอง
การทำแจ่วดำน้ำผักสะทอน ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ส่วนประกอบก็มีพริกแห้ง กระเทียม เกลือ น้ำปลา น้ำตาล ที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ น้ำผักสะทอน การทำน้ำผักสะทอนนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมานานมากเลย ข้าพเจ้าจะเล่าให้อ่านก่อน น้ำผักสะทอนนี้เราทำได้เพียงปีละ 2-3 เดือนเท่านั้นเอง เพราะเราต้องเอาตอนฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน ใบสะทอนก็จะแตกยอกอ่อน 4-5 ใบ เราก็จะไปเก็บเอามาตำให้ละเอียด โดยใช้ครกใหญ่ตำให้ละเอียด แล้วนำไปแช่น้ำไว้ประมาณ 2 คืน ตอนแช่ต้องกลับใบสะทอนด้วย พอ 2 คืนแล้ว เราก็ปั้นเอาเอาใบออกให้เหลือแต่นำ เราควรกรองน้ำสะทอนด้วยผ้าขาวบาง เพราะถ้าเราไม่กรองน้ำจะเป็นตะกอน จากนั้นก็นำไปต้ม เวลาที่เราต้มต้องหมั่นตักฟองออกให้หมด จากนั้นก็เคี่ยวให้แห้ง เราแช่น้ำสะทอน 1 โอ่ง เวลาต้มเสร็จเราจะได้น้ำผักสะทอน ประมาณ 4-5 ขวดน้ำปลา น้ำสะทอนที่เราเคี่ยวจะเป็นที่สีดำ นำมาใส่ขวดเก็บไว้ 2-3 ปี
วิธีการทำแจ่วดำ นำพริกแห้งมาตัดขั้วออกแล้วนำมาคั่วด้วยไฟอ่อนๆ ให้เหลืองกรอบ แล้วนำมาตำให้ละเอียด นำกระเทียมตำใส่ให้ละเอียดเหมือนกัน แล้วนำเกลือ น้ำปลาน้ำตาลใส่ลงไป ถ้าชอบหวานก็ใส่มาก ตำให้เข้ากันดีแล้ว หลังจากนั้นก็เอานำผักสะทอนใส่ลงไปทีละช้อน ตำไปเรื่อยๆ ใส่น้ำผักสะทอนตำให้แจ่วมีสีดำ และมีความเหนียวและมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน
การทำน้ำพริก ต้องไม่คั่วพริกไหม้ น้ำผักต้องมีสีดำ และมีกลิ่นหอม ถ้าคนชอบกลิ่นแมงดาก็สามารถหยดหัวแมงดาใส่ลงไปได้ ถ้าเก็บไว้ในกระปุก จะสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 2-3 เดือน
แจ่ดำน้ำผักสะทอนจึงเป็นสินค้าสำคัญที่สร้างเศรษฐกิจให้แก่กลุ่มแม่บ้านมีาอาชีพ มีงานทำ สร้างงาน สร้างรายได้ เสริมให้แก่ครอบครัว ที่ดีเป้นอย่างมาก และมีการประหยัด ทำให้ไม่ต้องซื้อกินอีกด้วย จุดขายก็คือ ส่งตามรถกับข้าว ถ้าสนใจก็สั่งซื้อได้ที่ บ้านเลขที่ 41 หมู่ที่ 8 ตำบลนามาลา อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย หรือโทร 089 5730265 นายอาทิตย์ ชานุวัตร รหัส 4930123105239ยาสมุนไพรยาสมุนไพร คือ ยาที่หาได้จากธรรมชาติ และพบทั่วไปในป่าหรือตามชุมชน ก่อนที่คนจะรู้จักสมุนไพร ทุกคนต้องมีการศึกษาสรรพคุณของสมุนไพรก่อน เนื่องจากสมัยก่อนนั้นไม่มีโรงพยาบาล จึงมีการใช้ยาที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ที่เรียกว่า “ยาสมุนไพร” คนในสมัยก่อนนั้นจะมีการใช้ยาสมุนไพรโดยไม่มีการปรุงแต่งแต่อย่างไร จะใช้ภูมิปัญญาของตัวเองทั้งนั้น ยาสมุนไพรที่คนในสมัยก่อนใช้ก็ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ เป็นต้น ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้พบทั่วไปในชุมชน และทุกคนก็ได้นำประกอบอาหาร ซึ่งหารู้ไม่ว่าสมุนไพรเหล่านี้ก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งในสมัยนี้ก็ได้มีวิวัฒนาการเปลี่ยนไปได้มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการแปรรูป ให้เป็นยาสมุนไพรที่สามารถเก็บไว้ได้นาน
ตัวอย่างสมุนไพรข่า
ชื่อท้องถิ่น ข่าตาแดง ข่าหยวก (ภาคเหนือ)ไม่มีความเห็น