เรื่องจริงที่เกิดขึ้น....และทุกคนควรรับรู้ โลกร้อน เป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริงแน่นอน แต่ผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ของโลก เช่น อากาศเย็น หรือร้อนผิดปกติ น้ำท่วมมากขึ้น พื้นที่แห้งแล้งมากขึ้น และมีความเป็นไปได้อย่างน้อยร้อยละ 90 ที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ มนุษย์เป็นตัวการสำคัญของปัญหา
โลกร้อน โลกมีระบบควบคุมสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติ โดยปกติ ชั้นบรรยากาศของโลกจะประกอบด้วยก๊าซหลายชนิด และไอน้ำ เมื่อรังสีคลื่นสั้น คือคลื่นแสง จากดวงอาทิตย์มาถึงบรรยากาศโลก ประมาณ 30%จะสะท้อนกลับสู่ห้วงอากาศ ส่วนอีก 70 % จะผ่านเข้ามายังพื้นผิวโลกและถูกดูดกลืนด้วยพื้นน้ำ พื้นดิน พืชสัตว์ และหลังจากนั้น พลังงานจะถูกคายออกมาในรูปรังสีคลื่นยาว ซึ่งเป็นคลื่นความร้อนกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศ โดยกระแสลมและเมฆที่อยู่บนชั้นบรรยากาศ คลื่นความร้อนจะถูกกักเก็บไว้โดยก๊าซเรือนกระจก ที่มีอยู่หนาแน่นข้างบน ในภาวะปกติระบบการทำงานเหล่านี้จะช่วยทำให้อุหภูมิบนผิวโลก ไม่ร้อนจัด หรือเย็นจัดเกินไป อัตราส่วนของก๊าซเรือนกระจก จะประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) 60 % มีเธน (OH 4)15 % ฟรีออน (CCIBF 2) 12 % โอโซน (03) 8% และ ไนตรัสออกไซด์ (N3O) 5% จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า หากปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ลดลงครึ่งหนึ่งจะทำให้อุณหภูมิ เฉลี่ยของโลกลดลงถึง 5 องศาเซลเซียล แต่ในระยะหลังจากการศึกษา พบว่าเป็นมีการเผาไหม้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีปริมาณเพิ่มขึ้นมหาศาล ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ในอนาคตโลกจะร้อนขึ้น จากปรากฏการณ์เรือนกระจก จากปัญหาเรื่องภาวะเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้นก็คือ ชั้นก๊าซเรือนกระจกไม่ได้มากขึ้น แต่เป็นเพราะก๊าซเหล่านี้มีความเข้มข้นมากขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งทำให้คลื่นความร้อนที่ควรคืนกลับออกไป ถูกเก็บกักสะสมไว้โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์
ก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซด์ที่มากเกินไปนี้มาจากไหน ก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซด์ เป็นก๊าซที่สำคัญที่ทำทำให้พืชสามารถสังเคราะห์แสงและสร้างอาหารให้มวลมนุษย์มีชีวิตอยู่รอดได้บนโลก ในกระบวนการทางธรรมชาติ คาร์บอนไดร์ออกไซด์จะได้ในการเก็บกักและกำจัดเพื่อควบคุมปริมาณให้มีความสมดุล เช่น ต้นไม้สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีมากและเก็บไว้ในรูปของคาร์บอนในเนื้อไม้ ในซากพืชและสัตว์ที่ทับถมยาวนาน จนกลายเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล(ฟอสซิล คือ การทับถมของใบไม้ ต้นไม้ จนกลายเป็นถ่านหิน น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ) ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จำนวนมหาศาลที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ มีมากเกินกว่าระบบธรรมชาติจะจัดการได้ มาจากการใช้พลังงานที่ได้จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน น้ำมันแก็สธรรมชาติ)การตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นการทำลายแหล่งเก็บกักก๊าซชั้นดี รวมทั้งการเผาป่าการให้เชื้อเพลิงและไฟฟ้าทั้งใน ภาคอุตสาหกรรม การเกษตร ภาคการขนส่งและคมนาคม รวมทั้งวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนในเมือง
ยังมีก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เช่น มีแทน แม้จะมีปริมาณน้อยแต่โมเลกุลของมีแทนดูดกลืนรังสีความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดร์ออกไซด์ถึง 25 เท่า ก๊าซมีแทนเป็นก๊าซที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการย่อยสลายอินทรียวัตถุโดยไม่ใช่ออกซิเจน กิจกรรมหลักของมนุษย์ที่เป็นการเพิ่มมีแทนในชั้นบรรยากาศ ได้แก่ การทำปศุสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ฟาร์มวัว ฟาร์มหมู การฟังกลบขยะโดยไม่ได้แยก ขยะอินทรีย์ รวมทั้งการเผาไหม้ ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซไนตรัสออกไซด์ เพิ่มปริมาณมากขึ้นจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรมโรงงานที่ผลิตเส้นใย ไนลอน อุตสาหกรรมทางเคมี และพลาสติกที่ใช้ กรดไนตริกในการผลิตรวมถึงการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ในการเกษตร จะทำให้เกิดการปล่อยไนตรัสออกไซด์สู่บรรยากาศ
โลกร้อนน้ำแข็งละลาย อุณหภูมิ ของผิวโลกปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นเกือบ 1 องศาเซลเซียส เป็นเรื่องที่น่าวิตกเพราะนั่นคืออุณหภูมิ เฉลี่ยตลอดปีของโลกในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วง 50 ปีหลัง อุณหภูมิของโลกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วหลายคนคิดว่าโลกร้อนเพิ่มขึ้นแค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่น่ามีผลกระทบมากมายเท่าไร แต่ในความเป็นจริงผิวพื้นโลกทั่วไปประกอบด้วยพื้นดินเพียง 1 ส่วน และพื้นน้ำ 3 ส่วน ซึ่งแผ่นดินมักจะร้อนเท่าพื้นน้ำ กล่าวคือในขณะที่แผ่นดินซึ่งมีพื้นที่เพียงประมาณ 20 % ของผิวโลกร้อนขึ้น 3 – 4 องศาเซลเซียส ทะเลซึ่งมีพื้นผิวมากกว่าแผ่นดินถึง 4 เท่า อาจจะร้อนขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่กรณีที่โลกร้อนเพิ่มขึ้น 1 องศา ได้นั้น นั่นหมายความว่าแผ่นดินจะต้องเพิ่มมากกว่าทะเลถึง 4 เท่า แต่ยังหมายถึงว่า อุณหภูมิเท่าแผ่นดินกับพื้นน้ำที่แตกต่างเท่ากันมากขึ้น นั้น จะทำให้ลมที่พัดจากทะเลเข้าหาฝั่งอย่างมรสุม หรือ ลงประจำถิ่นอื่น ๆ พัดรุนแรงขึ้น พายุหมุนจึงมีโอกาสเกิดได้บ่อยขึ้นด้วย จากรายงานฉบับล่าสุดของ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลขององค์การสหประชาชาติ ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ได้รู้ว่าหากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังเป็นเช่นนี้อยู่ อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลก อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 4 – 6 องศาเซลเซียส คือ เพิ่มในอัตราเร็วขึ้นถึง 10 เท่าจากปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเพียงแค่ 2 องศาเซลเซียส จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไม่มีทางย้อนกลับได้ อุณภูมิที่สูงขึ้นสามารถบรรเทาลงได้ โดยระบบการจัดการของโลกในระยะเวลากว่าล้านปี แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็วในปัจจุบันไม่อาจเยียวยาได้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากระบบนิเวศไม่สามารถปรับตัวได้ ตัวอย่าง ของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจย้อนกลับอาจเป็นเรื่องของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เป็นหายนะภัยในระยะยาว พื้นผิวของน้ำแข็งขั้วโลก ทำหน้าที่สะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ กลับสู่บรรยากาศได้ดี 90 % ในขณะที่น้ำทะเลก็สามารถดูดความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ถึง 90 % เช่นกัน จากการสำรวจของเรือดำน้ำนิวเคลียส ของสหรัฐอเมริกา พบว่าแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกเหนือมีความหนาลดลง จากความหนาโดยเฉลี่ย 3 เมตร ในปี 2503 ละลายลงเหลือ 2 เมตรในเวลาเพียง 30 ปี และได้ทำนายไว้ว่าภายใน 25 ปีข้างหน้า เราอาจได้เห็นขั้วโลกเหนือในหน้าร้อนที่ไม่มีแท่งน้ำแข็งปกคลุมเลย ที่ขั้วโลก นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา มีก้อนน้ำแข็งแตกจากแผ่นดินลอยลงสู่มหาสมุทร เป็นพื้นที่ถึง 13,500 ตารางกิโลเมตร และในช่วง 50 ปี ที่ผ่านมา อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกใต้สูงขึ้น ราว 2.5 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกใต้ มีอัตราการละลายเพิ่มขึ้น เป็น 150 ลูกบาศก์กิโลเมตร ต่อปี เปรียบเหมือนการดูน้ำในเขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนภูมิพล รวมกัน ซึ่งเท่ากับ 5 ลูกบาศก์กิโลเมตร นั่นคือ ปัจจุบันนี้ในแต่ละปี น้ำแข็งขั้วโลกใต้ละลายเป็นน้ำปริมาณ 30 เท่าของน้ำแข็งทั้ง 2 เขื่อนรวมกัน
ผลกระทบประเทศไทยจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตเมื่อปัจจุบันเริ่มส่งสัญญาณ ประเทศไทยได้ลงนามและให้สัตยบรรณในอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ ไม่มีพันธกรณีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ แล้ว ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนที่น้อยมาก คิดเป็น 0.6 % ของการปล่อยก๊าซชนิดนี้จากทุกประเทศทั่วโลก ถึงจะมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย แต่ผลกระทบที่ไทยจะได้รับจากภาวะโลกร้อนนั้นไม่น้อยเลย เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปรากฏการณ์ที่ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยมีสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศเป็นตัวกำหนดความรุนแรงของผลกระทบ การดำรงชีวิตของเราในอีก 50 ปีข้างหน้า อาจแตกต่างไปจากปัจจุบัน เพราะภาวะโลกร้อน จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ผลผลิตการเกษตรตกต่ำลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เขตเพาะปลูกจะเขยิบขึ้นไปสู่เขตอบอุ่น ความขัดแย้งเรื่องแหล่งน้ำจืดระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น พายุฤดูร้อนเพิ่มถี่และรุนแรงมากขึ้น การประมงมีปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ น้ำทะเลทำให้ฝูงปลาอพยพไปสู่แหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิเหมาะสมกว่า โรคร้ายอาจแพร่กระจายเพิ่มขึ้นจากพาหะที่ได้ประโยชน์จากอุณหภูมิที่สูงขึ้น เช่น มาเลเรีย อหิวาตกโรค โรคทางเดินหายใจและโรคปอด วันนี้เราจำเป็นต้องมีแนวคิดใหม่ในการแก้ปัญหา เพราะสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยวิธีคิดแบบเดิม เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่ความอยู่รอดของประเทศหรือสังคมของเราขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะบุคคลในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงในสระดับภาพใหญ่ จึงเป็นเองสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจและโครงสร้างทางกายภาพที่เราอาศัยอยู่เราอาจแก้ไขปัญหาและอยู่รอดได้ หากการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเกิดขึ้นได้ในระดับใหญ่ ประชาชนควรได้รับรู้เรื่องราวปัญหาภาวะโลกร้อนที่อยู่ไม่ไกลตัวเลย และตระหนักถึงพลังของตนในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เราจำเป็นต้องรวมพลังเปลี่ยนวิธีคิดของภาคการเมืองและภาคอุตสาหกรรม โดยมีความเข้าใจถึงความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจ
แล้วเราจะทำอย่างไร เมื่อรับรู้แล้วว่าคาร์บอนไดออกไซด์ คือ ก๊าซเรือนกระจกสำคัญที่ถูกปลดปล่อยขึ้นสู่บรรยากาศโลกจากกิจกรรมของมนุษย์ การแก้ไขและลดปัญหาภาวะโลกร้อนที่เราสามารถทำได้ทันทีก็คือ การควบคุมปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าในฐานะของประชาชนหนึ่งคน หรือในฐานะพลเมืองคนหนึ่งที่มีอาชีพเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโลกร้อน
น้ำมัน – เป็นแหล่งพลังงานหลักและแหล่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ผลิตภัณฑ์น้ำมันเกือบทั้งหมดเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในยานพาหนะและเครื่องบินและระบบทำความร้อนรวมถึงโรงไฟฟ้า
ถ่านหิน – คือเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เป็นตัวการโลกร้อนอันดับหนึ่ง การเผาไหม้ถ่านหินจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามหาศาล ลิกไนต์เป็นถ่านหินที่สกปรกมากที่สุด
แก็สธรรมชาติ – แม้จะเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สกปรกน้อยที่สุดแต่ก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาครึ่งหนึ่งของลิกไนต์สำหรับพลังงานที่ผลิตได้ทุก 1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง
การทำลายป่า – มีส่วนในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์โดยรวมประมาณ 1 ใน 5 ป่าฝนเขตร้อนคือแหล่งเก็บกักคาร์บอน และเป็นพื้นที่สำคัญในการควบคุมระบบภูมิอากาศของโลก
มีแทนและไนตรัสออกไซด์ – แหล่งกำเนิดหลักของมีแทนคือการปศุสัตว์ การเกษตรกรรม การทำลายป่าไม้ การทลายของชั้นดินเยือกแข็ง
เพอร์มาฟรอส – ทำให้เกิดการปล่อยมีเทนจำนวนมหาศาล ส่วนการทำเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมียังเป็นแหล่งใหญ่ของก๊าซไนตรัสออกไซด์ ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และผู้ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อมนุษย์ชาติ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง “ มนุษย์เป็นผู้สร้างกิจกรรมและก่อให้เกิดปัญหาต่อธรรมชาติ มนุษย์ต้องแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ก่อนที่ธรรมชาติจะแก้ไขปัญหาด้วยตนเองแล้ววันนั้นคงไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไป”
วิชัย อมรพันธางค์
โดย.... สะแกกรัง / ตุลาคม 2550
ดีมากเลยค่ะ
ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซต์ได้อย่างลึกซึ้งค่ะ
ขอบคุณค่ะ
กมลชนก
ขอบคุณที่ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซต์ได้อย่างลึกซึ้งค่ะ