เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ผมได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมรับฟังรายงานการวิจัยของ DR. LUIS BENVENISTEจากThe world Bank ที่โรงแรมมิราเคิลแกรน กทม.ซึ่งท่านเลขาธิการ กพฐ.(คุณหญิงกษมา)เชิญมาโดยเฉพาะ มีผู้บริหารจาก สพท. และจากโรงเรียนเข้าร่วมรับฟังเต็มห้องประชุม ซึ่ง Dr.Luis ได้ทำรายงานวิจัยเป็นเอกสารเผยแพร่ไว้ในเดือนสิงหาคม 2549 ตั้งชื่อเรื่องว่า "รายงานการติดตามสถานการณ์ทางสังคมไทย ซการปรับปรุงการมัธยมศึกษา" ผมเห็นว่ามีสาระที่น่าสนใจจึงนำมาฝากกัน เนื่องจากรายงานฉบับนี้ค่อนข้างยาว จึงขอนำเสนอเป็นตอนๆไป ดังนี้
1.ภูมิหลังของการศึกษาในประเทศไทย
การศึกษาเป็นด้านที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นมาตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2475 แผนการพัฒนาการศึกษาแห่งชาติทั้งหลายได้เป็นแนวทางในยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาสำคัญทางการศึกษาและกำหนดเป้าหมายและอันดับความสำคัญทางการศึกษาในระดับชาติ เมื่อไม่นานมานี้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2545 – 2559 มีการขยายการศึกษาภาคบังคับจาก 6 ปี เป็น 9 ปีตามลำดับ และมีการเน้นความสมดุลทั้งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และด้านเศรษฐกิจ การกระจายอำนาจทางการบริหารจัดการการศึกษามีการนำมาปฏิบัติโดยการจัดตั้งเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มการมีส่วนร่วมในระดับชุมชน
ในช่วงทศวรรษ 2523 – 2533 รัฐบาลไทยได้มุ่งขยายการประถมศึกษา ความพยายามเช่นนั้น สะท้อนให้เห็นได้ในความสำเร็จในการจัดการศึกษาภาคบังคับระดับประถมศึกษาซึ่งครอบคลุมประชากรเกือบทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงรายได้ ท้องที่ หรือ เพศ อย่างไรก็ดีในช่วงเวลาเดียวกัน การเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษากลับก้าวตามไม่ทันหลังจากนั้นความพยายามของรัฐบาลไทยในการขยายโอกาสการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาได้เพิ่มจำนวนนักเรียนมัธยมอย่างรวดเร็วในทศวรรษ พ.ศ. 2533 – 2543 ในปี 2540 ร้อยละ 70 ของแรงงานไทยทั้งหมดได้รับการศึกษาเพียงระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่าเท่านั้น ขณะที่ร้อยละ 17 ได้รับการศึกษาระดับมัธยมศึกษา และร้อยละ 8 ได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษา อย่างไรก็ตามการลงทุนในการมัธยมศึกษา
ในช่วงทศวรรษ พ.ศ. 2533 – 2543 ได้เริ่มเห็นผล จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2547 แรงงานที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับประถมศึกษามีถึงเกือบร้อยละ 40 ในขณะที่ผลสัมฤทธิ์เหล่านี้ได้ทำให้ประเทศไทยล้ำหน้าประเทศส่วนใหญ่ในกลุ่มเอเชียตะวันออก ประเทศไทยยังคงตามหลังประเทศที่ได้ชื่อว่าเสือแห่งเอเชีย ( ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ ) และกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ในการทำให้ระบบการมัธยมศึกษาของไทยก้าวหน้าต่อไป จึงจำเป็นจะต้องมีการเข้าใจดีขึ้นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาสำคัญ เช่น โอกาสการเข้าเรียน ความเท่าเทียม คุณภาพ และประสิทธิภาพที่มีอยู่ในปริบทของไทยว่ามีบทบาทอย่างไร
2.การเข้าเรียนและความเท่าเทียมในระดับมัธยมศึกษา
รัฐบาลไทยกำหนดเป้าหมายไว้ในรายงานเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษแห่งชาติ (National Millennium Development Goals Report) ฉบับแรกเพื่อบรรลุการศึกษาภาคบังคับระดับมัธยมศึกษาตอนต้นภายในปี 2549 และการศึกษาภาคบังคับระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในปี 2558 อัตราการเข้าเรียนสุทธิและเข้าเรียนจริงในระดับมัธยมศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 15 ปี ที่ผ่านมา ในปัจจุบัน เด็กเกือบทุกคนมีโอกาสเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษา ทั้งนี้เป็นผลมาจากความพยายามอย่างพร้อมเพรียงกันของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาความไม่ยุติธรรมในการมีส่วนร่วมในการศึกษา
ความยุติธรรมในการเข้าเรียนมัธยมศึกษามีการปรับปรุงดีขึ้น อัตราการมีส่วนรวมในการมัธยมศึกษาแสดงให้เห็นว่าการเข้าเรียนของกลุ่มต่าง ๆ (ทั้งชายและหญิง ชุมชนเมืองและชนบท ภูมิภาค และกลุ่มสถานภาพทางเศรษฐกิจทุกกลุ่ม )ขยายตัวขึ้น อย่างไรก็ดี ขณะที่ช่องว่างระหว่างชุมชนเมืองและชนบทลดน้อยลง ช่องว่างระหว่างชายและหญิงกลับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและนักเรียนหญิงได้รับผลประโยชน์มากกว่านักเรียนชาย นอกจากนี้ยังเป็นที่สังเกตว่าอุปสรรคการเข้าเรียนมัธยมศึกษาอันเป็นผลมาจากรายได้ของครอบครัวยังคงเป็นประเด็นน่าห่วงใยสำคัญในประเทศไทย ยังมีข้อแตกต่างอย่างมากในจำนวนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาระหว่างกลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุดและร่ำรวยที่สุด ถึงแม้ว่าข้อแตกต่างเหล่านี้มีการทำให้แคบลงมาตลอดก็ตาม ช่องว่างในการเข้าเรียนระหว่างกลุ่มประชากรที่ร่ำรวยที่สุดกับยากจนที่สุด (เมื่อแบ่งประชากรทั้งหมดเป็นห้ากลุ่ม ) ในปี พ.ศ. 2537 เป็นร้อยละ 24 และ ลดลงมาเป็นร้อยละ 17 ในปี พ.ศ. 2545 ท้ายที่สุดการเปรียบเทียบระหว่างประเทศแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ในปลายทศวรรษ 2523 – 2533 ประเทศไทยเริ่มต้นด้วยการเป็นระเทศหนึ่งที่มีอัตราจำนวนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสุทธิต่ำที่สุดในภูมิภาค แต่ในทศวรรษต่อ ๆ มาประเทศไทยได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งในอันดับสูง อันเป็นผลมาจากความพยายามอย่างพร้อมเพรียงของรัฐบาลไทยในการขยายโอกาสการเข้าเรียน
ถึงแม้ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จหลายประการ แต่ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก ขณะที่เด็กร้อยละ 98.6 ของเด็กทั่วประเทศคาดว่าจะจบชั้นประถมศึกษาในปี พ.ศ. 2545 ก็ตาม มีเด็กเพียงร้อยละ 85 ได้เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และร้อยละ 69 ได้เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย การเข้าใจทั้งปัจจัยด้านอุปทานและอุปสงค์ในการได้รับการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาช่องว่างการเข้าเรียนและความเท่าเทียมทางการศึกษาในประเทศไทย การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์แสดงให้เห็นว่าเหตุผลหลักในการกีดกันเด็กไม่ให้เข้าเรียนหรืออยู่ในโรงเรียนคือการขาดการสนับสนุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาผลักภาระมากขึ้นแก่ครอบครัวยากจนซึ่งจะต้องมีสวนแบ่งปันรายได้ครัวเรือนมากขึ้นหลังการจ่ายเป็นค่าอาหารและสิ่งจำเป็นพื้นฐานอื่น ต้นทุนค่าเสียโอกาสสำหรับรายได้ที่จะได้หากส่งบุตรหลานไปทำงานก็เพิ่มขึ้นสำหรับครอบครัวยากจนเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ ในขณะที่รัฐบาลไทยได้ตั้งปณิธานในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่า 12 ปี ก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ค่าเล่าเรียน เช่น ค่าธรรมเนียมห้องสมุด ค่าสอบ ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาโรงเรียนยังคงเป็นอุปสรรคทางการเงินที่สำคัญสำหรับครอบครัวยากจนจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่อัตราผลตอบแทนทางการศึกษาของประเทศไทยอยู่ในระดับสูง ครอบครัวยากจนจำนวนมากยังไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายโดยตรงหรือค่าเสียโอกาสในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษา ประเทศไทยมีการนำมาตรการทางนโยบายสำคัญหลายประการมาปฏิบัติเพื่อเพิ่มจำนวนนักเรียนมัธยมศึกษา มาตรการเหล่านี้ได้แก่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โครงการจักรยานยืมเรียนสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มการเข้าเรียนมัธยมศึกษาอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามมาตรการเหล่านี้ยังไม่ได้สนองความต้องการของครอบครัวที่ยากจนมากซึ่งบุตรหลานของตนยังคงออกจากระบบการศึกษากลางคันอยู่ การมุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มนักเรียนด้อยโอกาสในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะประกันอัตราการเรียนต่อจากระดับประถมศึกษาไประดับมัธยมศึกษาให้สูงขึ้นได้(โปรดติดตามตอนที่ 2)