บทคัดย่อชื่อเรื่องวิจัย : ผลการใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจต่อความปวดจากการเจาะเลือดหรือแทงน้ำเกลือในผู้ป่วยเด็กวัยเรียนโรคมะเร็งชื่อคณะผู้วิจัย : เกศนี บุณยวัฒนางกุล, วัฒนา พุทธิสวัสดิ์, คำหยาด ไพรี, สุชีลา เกษตรเวทิน, ธนิดา แปลกลำยอง,ชาญยุทธ ศุภคุณภิญโญหน่วยงานที่รับผิดชอบ : แผนกการพยาบาลกุมารเวชกรรม งานบริการพยาบาล
โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นผู้ป่วยเด็กโรค
มะเร็งต้องเผชิญกับความปวดเฉียบพลันโดยมีสาเหตุจากการทำหัตถการทางการ
แพทย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การเจาะเลือด การแทงน้ำเกลือ การเจาะหลัง การ
เจาะไขกระดูก เป็นต้น การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental
study : pre-post test score one group design) วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษา
ผลการใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจต่อความปวดจากการเจาะเลือดหรือแทงน้ำ
เกลือในผู้ป่วยเด็กวัยเรียนโรคมะเร็ง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเด็กวัยเรียนโรคมะเร็ง
อายุ 6-13 ปี คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 34 ราย ระหว่างเข้ารับการรักษาที่หอผู้
ป่วยเด็ก 3 ง แผนกการพยาบาลกุมารเวชกรรม งานบริการพยาบาล โรงพยาบาลศรี
นครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก่อนทดลองกลุ่มตัวอย่างได้รับ
การเจาะเลือดหรือแทงน้ำเกลือซึ่งเป็นการดูแลตามปกติ หลังทดลองกลุ่มตัวอย่าง
ได้รับการเจาะเลือดหรือแทงน้ำเกลือร่วมกับการใช้เทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจ
ด้วยการฟังเพลงร่วมสมัยหรือฟังนิทานประกอบเสียงเพลงจากเครื่องเล่นซี ดี แบบ
มีหูฟัง โดยให้เด็กเลือกตามความชอบ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็น
แบบบันทึกรายงานความปวดและแบบบันทึกพฤติกรรมความปวดของผู้ป่วยเด็ก
ผ่านการพิจารณาความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 ท่าน ประเมิน
ระดับความปวดด้วยมาตรวัดสีหน้าการ์ตูนโดยการสอบถามเด็ก และประเมิน
พฤติกรรมความปวดตามแบบบันทึก วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่าง
ระดับความปวดด้วย pair t-test. และเปรียบเทียบความแตกต่างพฤติกรรมขณะทำ
หัตถการด้วย McNemar Chi-sqare ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างหลัง
ทดลอง มีค่าเฉลี่ยคะแนนระดับความปวดต่ำกว่าก่อนทดลองแตกต่างอย่างมีนัย
สำคัญ (p <.00
1) และเปรียบเทียบการแสดงพฤติกรรมต่อความปวดพบว่าแตกต่าง
กันอย่างไม่มีนัยสำคัญ (p >.05) ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทาง
ในการสนับสนุนและส่งเสริมบุคลากรทีมสุขภาพให้เห็นความสำคัญในการนำวิธี
การเบี่ยงเบนความสนใจไปใช้กับผู้ป่วยเด็กวัยเรียนโรคมะเร็งเพื่อบรรเทาความ
ปวดเฉียบพลันจากการเจาะเลือดหรือแทงน้ำเกลือ
Abstract
Research Title : Effects of distraction techniques on pain from venipuncture or intravenous cannulation in school-age children with cancerResearchers : Boonyawatanangkool, K., Bhudhisawasdi,W., Pairee, K., Kasetwatin, S.,Plaglamyong,T., Supakunpinyo, C.Years : October 2004- September 20006The office : Pediatric Nursing Department, Srinagarind Hospital, Faculty of Medicine, Khon Kaen University, Khon Kaen, Thailand
Background: Children with cancer frequently experience acute
pain caused by medical procedures (i.e., venipuncture,
intravenous cannulation, lumbar puncture and bone marrow
aspiration). These are distressing events and difficult for
children to cope with. The purpose of this study was to examine
the effectiveness of distraction techniques‑‑like listening to pop
songs or musical story telling from a CD player with head
phones‑‑on the reduction in pain among school-age children
with cancer undergoing treatments or testing. Method: A quasi-
experimental study using a pre-/post-test score, with a single
group design, was performed at the Pediatric Unit at
Srinagarind Hospital, Faculty of Medicine, Khon Kaen
University, Thailand. Purposive sampling among patients (both
sexes) between 6 and 13 years of age was used to recruit 34
participants. All of the patients were admitted for periodic
chemotherapy which required blood testing and intravenous
cannulation. Two time periods (e.g., T1 and T2) were assessed.
In T1, subjects received only routine care whereas in T2
subjects were encouraged to use distraction techniques. The
Face Affective Pain Scale and the Behavioral Pain Scale were
used to evaluate pain. The differences in pain intensity and
behavioral pain scores between T1 and T2 were analyzed using
the pair t and the McNemar χ2 tests, respectively.Results:
Subjects perceived significantly less pain in the second time
period (with distractions) than the first (without distractions)
(p<0.001). However, the differences in the behavioral
responses between the two periods did not reach statistical
significance (p>0.05). Nevertheless, the results of this study
support the use of distraction techniques to relieve acute pain
among school-aged children with cancer undergoing
venipuncture or intravenous cannulation.
นำเสนอผลงาน oral presentation วันที่ 8 ธันวาคม 2549 จัดโดยสภาการพยาบาลแห่งประเทศไท กทม. และ poster presentation, ICN conference Yokohama, Japan, May 27-June1, 2007
ภาพเก็บตกจาก Yokohama, Japan
หมายเหตุ ญี่ปุ่นน่าเที่ยว สะอาด high technology น่าจะติดอันดับโลก คนมีนำใจและมีวินัย บ้านเมืองสะอาด สวยงาม แต่ค่าใช้จ่ายสูงมากมาก
ย้ายบล็อก 2 ตค. 50 มีคนอ่าน = 270
สวัสดีคะ่น้องเกศ แวะมีเยี่ยม Blog
ทำให้ระลึกถึงความประทับใจที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีดีหลายอย่าง พี่ชอบที่ คนขยัน รับผิดชอบดี ชาตินิยม
วันนี้ทราบข้อมูลว่าเด็กญี่ปุ่นทำค่าเฉลี่ยการสอบวิชาวิทย์ในอับดับสุงกว่าค่าเฉลี่ยแต่ยังแพ้จีนอ่องกง จีนไต้หวัน
ทำให้ได้ข้อคิดเสมอว่าถ้าเราพัฒนาไม่หยุด "ไทย"ก็อาจมีโอกาส แต่วันที่ค่าเฉลี่ยของเด็กไืทยมีค่าเฉลี่ยของการสอบวิชาวิทย์ตำ่่กว่าค่าเฉลี่ยของเด็กทั่วโลก อยู่ในอันดับที่ตำ่ที่21ใน57ประเทศ ..โชคดีที่ไม่ใช่อับดับสุดท้าย
นี้เ็ป็้นงานวิจัย ของPIZA เก็บตกจากการปฐมนิเทศของลูกๆ
Hello พี่แขก
ขอบพระคุณที่แวะมาเยี่ยม และนำเกร็ดความรู้มาฝากค่ะ เกศไม่ค่อยได้เขียน blog เลยตอนนี้ กำลังปรับกิจกรรมให้สมดุลอยู่ค่ะ
น่าสนุกนะคะ เขาบอกว่าเข้าประเทศเขายากจริงเปล่าคะ