“ในประเทศญี่ปุ่นนั้นไม่มี NGO ทำงานพัฒนาชนบท มีแต่ราชการรัฐบาลและชาวบ้านเท่านั้น ชาวบ้านญี่ปุ่นสร้างระบบขึ้นมาเองโดยระบบนี้จะไปคอยดูว่าข้าราชการคนไหนทำงานไม่ดีก็จะตักเตือนให้ปรับปรุงใหม่” สังคมไทยทำแบบนี้ได้ไหม..?
“ทำไมข้าราชการไทยออกทำงานราชการพัฒนาชนบทต้องมีเบี้ยเลี้ยง เป็นไปได้ไหมที่เบี้ยเลี้ยงจะให้รวมอยู่ในเงินเดือนไปเลย...ที่ญี่ปุ่นข้าราชการไม่มีเบี้ยเลี้ยง..”
“ตอนแรกๆ ผมดีใจที่รัฐบาลไทยมีแนวความคิดสร้าง อบต.ขึ้นมา เพื่อให้เป็นรัฐบาลท้องถิ่น แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้วนะ ผมผิดหวัง...อบต.ก็กลายเป็นหน่วยหนึ่งของระบบราชการไป..”
นี่คือส่วนหนึ่งของประเด็นสนทนาระหว่างผู้บันทึกกับ ดร.ชินอิชิ ชิเกโตมิ Senior Research Fellow แห่งสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจญี่ปุ่น IDE ภายใต้ JETRO เขาแวะมาเยี่ยมที่บ้านและคุยกัน คุณชินอิชิพูดไทยคล่องปรือ เพราะอยู่เมืองไทยนาน มีภรรยาเป็นคนไทย แต่ได้กลับไปรับราชการที่ญี่ปุ่นนานแล้วเหมือนกัน
เขากำลังเก็บรวบรวมข้อมูลงานพัฒนาของเมืองไทยยุคแรกเพื่อดูประเด็นต่างๆในแง่พัฒนาการของงานพัฒนาชนบท น่าสนใจที่คุณ ชินอิชิ เป็นผู้เชี่ยวชาญชนบทญี่ปุ่นมาก่อน ก่อนที่จะมาศึกษาชนบทไทย ระหว่างการพูดคุยเขาจึงมักเปรียบเทียบกับชนบทญี่ปุ่นเสมอ
มีประเด็นใหญ่ประเด็นหนึ่งที่เขาถามผมว่า “คุณคิดว่าการพัฒนาชนบทไทยที่แท้จริงน่าที่จะเริ่มจากที่ไหน” ? ประเด็นนี้กว้างขวางมาก และมีหลายมุมมอง แม้ตัวผู้บันทึกเองก็มีหลายแนวคิดบนฐานที่ต่างกัน แต่ก็ตอบไปว่าจากประสบการณ์ตัวเองนั้นจำเจกับงานพัฒนาสายหลัก คือ หน่วยงานราชการเข้าไปจัดตั้งกลุ่มเฉพาะกิจขึ้นมามากมาย ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชนบทจะต้องเข้าไปตั้งกลุ่ม แต่ก็ไม่รุ่งสักกลุ่ม อย่างดีก็มีกิจกรรมต่อเนื่องบ้าง นานๆจะได้ยินกลุ่มนั้นกลุ่มนี้เข้มแข็งขึ้นมา เมื่อผมเข้าไปศึกษาวิเคราะห์ก็เห็นว่า ทุกกลุ่มล้วนมีประโยชน์ต่อวิถีชีวิต แต่แตกต่างกันตามเงื่อนไขของหมู่บ้านและครอบครัวในหมู่บ้าน ลักษณะระบบนิเวศวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ ทำไมเราไม่รวมคณะกรรมการกลุ่มทั้งหมดเข้ามาเป็นคณะกรรมการงานพัฒนาหมู่บ้านของเราในลักษณะบูรณาการเบ็ดเสร็จ หน่วยงานไหนเข้ามาก็ต้องผ่านคณะกรรมการนี้ เพื่อใคร่ตรองให้เป็นระบบและสอดคล้องกับวิถีมากขึ้น และหมู่บ้านก็มีสิทธิที่จะรับหรือปฏิเสธ หรือแก้ไขความช่วยเหลือจากภายนอกไม่ว่าหน่วยงานราชการไหนก็ตาม และ.....
ช่างไปตรงกับประสบการณ์ของ ชินอิชิ เสียนี่กะไร เขากล่าวว่า งานพัฒนาที่เหมาะสมควรเริ่มจากหมู่บ้านเอง เหมือนหมู่บ้านคือประเทศต้องมีรัฐบาลหมู่บ้านอะไรทำนองนั้น โดยแสวงหาความร่วมมือภายในหมู่บ้านด้วยระบบวัฒนธรรมชุมชน แล้วค้นหาปัญหา อุปสรรค และสรุปหาแนวทางการพัฒนาหมู่บ้านด้วยตัวเอง หน่วยงานไหนเข้ามาก็ต้องมาคุยกับคณะรัฐบาลหมู่บ้านนี้ มิใช่ใช้นโยบายหน่วยงานมาสั่งให้ทำโน่นทำนี่ แล้วก็จากไป กลับมาอีกทีก็สั่งให้ทำโน่นทำนี่แล้วช่วยพูดดีดีต้อนรับนายด้วย อันหลังนี่ผมเติมเองครับ
ไม่ใช่เรื่องใหม่ แนวคิดประชาคมก็คล้ายกัน แนวคิดสภาหมู่บ้านก็คล้ายกัน แต่เริ่มที่ต่างกัน ....ผมคุยกับ ชินอิชิ อยู่เกือบสามชั่วโมง ทำให้เราทึ่งกับการทำงานของนักวิชาการญี่ปุ่นต่อการพัฒนาชนบทไทย ด้วยความบริสุทธ์ก็เป็นเรื่องทางวิชาการทั่วไป อีกมุมหนึ่งท่านทราบไหมว่าพัฒนาการของซาวอเบ้าท์นั้นมาจาก ลักษณะการบริโภคเสียงเพลงของชาวผิวสีของอเมริกาในช่วงที่ประธานบริษัทโซนี่นั่งรถเข้าไปเติมน้ำมันแล้วเห็นชาวผิวสีแบกทรายซิสเตอร์เครื่องเบ่อเร่อแนบหูไปด้วยเต้นเบาๆไปด้วยและเติมน้ำมันรถ
ประธานโซนี่แปรพฤติกรรมคนอย่างนี้ออกเป็นซาวอะเบาท์ขนาดเล็กกะทัดรัดมีสายเสียบ เท่ห์ชะมัดเลย ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า งานด้านพัฒนาของเมืองไทยที่เขามาศึกษานี้ อย่างน้อยที่สุดก็รู้จุดอ่อนของสังคมไทย รู้จักข้อเท็จจริงของสังคมชนบทไทย หาก JBIC หรือ JICA จะปล่อยเงินกู้ให้ไทยก็สามารถมีส่วนกำหนด หรือยื่นเงื่อนไขได้ว่าการพัฒนาที่แท้จริงน่าที่จะเป็นอย่างไร
ในทางตรงข้ามการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองสังคมบริโภคแบบไทยๆนั้นน่าที่จะเป็นลักษณะอย่างไร จึงจะโดนใจคนไทยที่สุด ซึ่งผมไม่อยากคิดในแง่นี้หรอก เชื่อมั่นว่าชินอิชิ จะเป็นนักวิชาการจริงๆที่ต้องการสร้างงานทางวิชาการขึ้นมาน่ะครับ อย่างไรก็ตามก็ขอบคุณ ดร.ชินอิชิ ที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ
สวัสดีครับอาจารย์ Handy
สวัสดีครับท่าน บางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ท่าน สะ-มะ-นึ-กะ
สวัสดีครับน้อง MOO
สวัสดีครับน้องยอดดอย
เพิ่มเติมครับน้องยอดดอย
ได้ความรู้มากค่ะทั้งที่พี่บางทรายเขียนเล่าและที่น้องยอดดอยเพิ่มเติมมา
ประสบการณ์ของตนเองก็รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนละเอียด ลุ่มลึก เมื่อต้องการศึกษาอะไรก็ทำอย่างตั้งใจ และพยายามทำความเข้าใจ เช่นการศึกษาเปรียบเทียบบทบาทของพระไทยในการพัฒนาท้องถิ่นและพระของญี่ปุ่นเอง คิดว่าเขาเป็นคนมองจับประเด็นของปัญหาได้ตรงจุด
ระบบราชการนั้นต้องคงอยู่แต่เห็นว่าจะปฏิรูป พูดมาหลายปี ยังไปไม่ถึงไหน กลัวคนที่ตั้งใจทำงานจริงๆจะอยู่ไม่ได้ คนที่อยู่ก็อยู่ด้วยการทำงานเต็มที่แต่แบบรักษาตัวให้รอดปลอดภัยค่ะ
สวัสดีน้องยอดดอย
สวัสดีครับน้อง คุณนายดอกเตอร์
สวัสดีครับพี่บางทราย
"ตราบใดที่เรายังพัฒนาชนบทอยู่ ก็แสดงให้เห็นได้ว่า ตราบนั้นชนบทท้องถิ่นยังไม่พัฒนา"
เราจึงต้องรู้ให้ได้ว่าชนบทยังไม่พัฒนาเนื่องเพราะอะไรล่ะครับ
มุมมองของนักพัฒนาก็คือ
1.เศรษฐกิจ 2. การเมือง ปกครอง 3. สังคม แล้วก็แตกแขนงแนวทางออกไป แต่ที่เน้นมากก็คือเศรษฐกิจ เพราะเข้าใจว่าการพัฒนาคือความมั่งคั่ง
มันก็ตรงกับมุมมองของชาวบ้านอีกที่มีมาตลอดว่า
1. น้ำไหล 2. ไฟสว่าง 3. ทางดี ก็เรื่องเศรษฐกิจกับโครงสร้างพื้นฐานน่ะครับ
ตอนหลัง ๆ ก็เลยมาสรุปได้ว่ายิ่งเราพัฒนาในทางเศรษฐกิจไปแบบไหน เราก็ทางตัน เพราะ ส่งเสริมอาชีพก็ไม่พ้นเรื่องเกษตร แล้วสินค้ามันก็ซ้ำ แล้วก็ไม่รอด
ก็เลยหันมามองดูต้นทุนที่แต่ละท้องถิ่นมีอยู่ ให้มากขึ้นแล้วพัฒนาจากสิ่งที่มีสิ่งที่ถนัด บางแห่งอาจมีปลามากก็ทำเรื่องแปลรูปปลา บางที่มีแหล่งท่องเที่ยวก็พัฒนาทางธุรกิจบริการ
ที่สำคัญต้องเข้าใจกันใหม่ทั้งนักพัฒนาและชาวบ้านว่า การพัฒนาไม่ใช่เงิน แต่เป็นเรื่องของความสุข เรื่องความพอเพียงจึงเข้ามาเป็นคำตอบหนึ่ง แต่ก็ต้องต่อสู้กับกระแสหลักที่ฝังหัวชาวบ้านมานานว่า การพัฒนาคืออาชีพเสริม คือความร่ำรวย
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับน้อง mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง