โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” เป็นคำที่มีความหมายคล้ายกับคำว่า “การเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม” ไม่ว่าจะเป็นการยอมเสียสละทรัพย์สิน เงินทอง สิ่งของ เวลา หรือแม้แต่ความสุขสบายของตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม/คนหมู่มาก เช่น กรณีของ “ครูจูหลิง”
สำหรับเรื่องราวที่อยากนำมาเล่าแลกเปลี่ยนในวันนี้ เป็นเรื่องที่เก็บตกมาจากหัวข้อที่ได้รับมอบหมายให้สอนนิสิตทันตแพทย์ชั้นปีที่ 1 เรื่อง “คุณธรรมจริยธรรมที่สำคัญในการดำรงชีวิต” จึงได้นำ CD รายการคนค้นคน (ขออภัยแป้นพิมพ์ ไม่มีตัว ค.คน) ตอน “ข้าคือ...นักสื่อความหมาย” ซึ่งเป็นเรื่องราวของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า อช.ดอยอินทนนท์ คุณตั๋น มณีโต (ผู้ซึ่งสูญเสียดวงตา 1 ข้าง จากการออกไปตรวจจับผู้ลักลอบตัดไม้เมื่อหลายปีก่อน) และทีมงานนักสื่อความหมาย ที่พยายามช่วยกันอนุรักษ์ป่าไม้ เพื่อยังประโยชน์ให้กับมนุษย์ทุกคนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน อาศัยลำน้ำและความชุ่มชื้นที่เกิดจากความอุดมสมบูรณ์บนยอดดอย
เรื่องราวของ “นักสื่อความหมาย” เหล่านี้ เริ่มต้นจากการทำงานบนความ “เสี่ยง” เนื่องจากต้องรับบทบาทเป็นผู้คอยตรวจจับ และปราบปรามผู้ลักลอบตัดไม้และทำร้ายสัตว์ป่าที่ต้องมีการต่อสู้ และซุ่มโจมตีกันตลอดเวลา แต่ภายหลังเปลี่ยนรูปแบบเป็นการออกไปพูดคุยและชี้แจง เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจ ยอมรับ และยุติปัญหา (การลักลอบตัดไม้) ด้วยตัวของเขาเอง โดยการทำให้พวกเขาซาบซึ้ง และเห็นคุณค่า ด้วยการปลุกจิตสำนึกว่าสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเขามีคุณค่าเอนกอนันต์ เป็นสมบัติของเขาที่ต้องช่วยกันปกป้อง ดูแล
จากเรื่องราว แม้ว่าบทบาทของ“นักสื่อความหมาย” จะเปลี่ยนแปลงไป แต่ดูแล้วพวกเขาก็ยังทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย แทบไม่ได้พักผ่อน เพราะต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านที่อยู่ภายในพื้นที่เขตอุทยานเพื่อพูดคุยและชี้แจงกับชาวบ้าน บางหมู่บ้านห่างจากที่ทำการอุทยานเพียง 80 กิโลเมตร แต่กลับต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางไปไม่น้อยกว่า 6-7 ชม. ผ่านถนนดินแคบๆ เละเป็นโคลน รถไถลเกือบตกเหว บ้างผ่านลำธารที่ต้องช่วยกันพยุงรถให้ผ่านไปไม่ไหลไปตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก พวกเขาทำงานแทบไม่ได้พักผ่อน ต้องจากบ้าน จากลูกเมียที่รักไปเป็นเวลานานๆ บางครั้งก็ต้องควักเงินเดือนของตัวเองเพื่อสมทบเป็นกองทุนในการออกไปทำงาน
ทำไมพวกเขาต้องทำแบบนี้ ? อยู่เฉยๆ นั่งตอบคำถาม นทท. ที่อุทยานอย่างเดียวไม่ดีหรือ ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องจากลูกเมีย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมิได้ทำเพื่อประโยชน์ของตน แต่ล้วนมาจาก “จิตสำนึกสาธารณะ” ที่อยากช่วยคงผืนป่าไว้ เพื่อยังประโยชน์ให้มวลมนุษย์สืบไป
มาช่วยกันบ่มเพาะ "จิตสำนึกสาธารณะ" ให้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจกันดีกว่า
ปล. เขียนเรื่องการอนุรักษ์ป่าของ "นักสื่อความหมาย" เสร็จ นึกถึงพี่คนนึงที่เพิ่งมีโอกาสได้รู้จักกันไม่นาน : ผู้ทำหน้าที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่ป่าไม้ ได้มีโอกาสได้ไปซึมซับความสวยงามของธรรมชาติในท้องถิ่นของตนร่วมกับพี่ๆ นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ท่านใดสนใจร่วมกิจกรรมสามารถเข้าชมได้ใน web site ดังนี้
กิจกรรม "รู้เพื่อรักษ์ น้ำตกทีลอซู" http://www.trekkingthai.com/board/show.php?Category=trekking&forum=4&No=99518
กิจกรรม "รู้เพื่อรักษ์ ดอยหลวงเชียงดาว" http://www.trekkingthai.com/board/show.php?Category=trekking&forum=4&No=100170 และ
กิจกรรม "รู้เพื่อรักษ์ ดอยหลวงพะเยา" http://www.trekkingthai.com/board/show.php?Category=trekking&forum=4&No=100175
อ่านแล้ว อย่าลืมช่วยกันสนับสนุนกิจกรรมดีๆ ของพี่เขานะคะ