Chapter 10 งานแห่งสามของผม


แล้วจุดเปลี่ยนในชีวิตก็เข้ามาเมื่อผมได้วิเคราะห์ไปถึงรายละเอียดของการให้บริการเว็บแบบครบวงจรของบริษัทผม

และแล้วเวลาก็ล่วงเลยผ่านวันตรุษจีนไป แต่ยังไม่มีที่ไหนเรียกผมสัมภาษณ์เลย ส่วนหนึ่งเท่าที่ผมคิดอาจจะเป็นเพราะผมเรียกเงินเดือนสูงมาก(สูงกว่าที่เดิมเกือบเท่าตัว) เพราะคราวนี้ผมเรียกเผื่อไว้ให้ฝ่ายบุคคลต่อรอง สาเหตุเป็นเพราะผมรู้ว่าผมเป็นคนทำงานหนักและทุ่มเทให้กับการทำงานแต่จากการที่คิดแต่จะเอามันส์โดยไม่คำนึงถึงผลตอบเทนทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยและไม่คุ้มกับเวลาที่ต้องเสียไป ผมรู้ว่าหลังจากเข้าไปทำงานแล้วเรื่องเงินเดือนจะเป็นเรื่องที่พูดกันยากมาก ฉะนั้นเราควรจะคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ยังไงๆ ฝ่ายบุคคลก็ต้องต่อรองอัตราเงินเดือนกับผมอยู่แล้ว ตั้งไว้สูงจะเป็นอะไรไป แต่… เวลาที่ผ่านไปเป็นคำตอบที่ชัดเจนให้ผมได้ทราบว่าการเรียกเงินเดือนไว้สูงเกินไปโดยไม่สำรวจว่าฐานเงินเดือนของแต่ละบริษัทนั้นว่าอยู่ที่เท่าไร มันทำให้เค้ากล้าไม่เรียกเรานั้นเอง

ตอนนี้ผมมีความคิดสองอย่างอยู่ในใจ หนึ่งคือการเปลี่ยนกลยุทธในการหางานโดยเรียกเงินเดือนให้ต่ำลงเป็นไปตามฐานเงินเดือนที่ควรจะเป็น สองคือการสานต่อธุรกิจที่ผมได้สร้างค้างคาเอาไว้ ทั้งสองทางเลือกมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ทางเลือกแรกผมจะต้องยอมรับผลตอบแทนในอัตราเงินเดือนที่บริษัทกำหนดให้ แต่สิ่งที่จะได้รับกลับมาคือการได้ลองทำงานส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ตัวเองอยากจะทำโดยการใช้ทุนของคนอื่น ได้พบปะผู้คนในระดับปฏิบัติการ ได้เรียนรู้ขั้นตอนกระบวนการที่คนอื่นได้สะสมทำกันมา ฉะนั้นบริษัทที่ผมเลือกก็จะต้องมีรูปแบบในธุรกิจที่ผมอยากทำและมีตำแหน่งที่มีอำนาจพอให้ผมได้ตัดสินใจ ไม่ใช่คอยทำตามคำสั่งแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนทางเลือกที่สองก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่ตัดใจจากทางเลือกแรกแล้วหันมาใส่ใจอย่างจริงจังกับธุรกิจตัวเองก็เท่านั้นเอง แต่ผมจะพลาดโอกาสในการได้ประสบกับสภาพแวดล้อมที่กล่าวมาข้างต้น และก็แน่นอนว่าหากเลือกทำธุรกิจของตัวเองแล้ว ก็คงจะไม่อาจไปทำงานกับที่อื่นๆ อีกได้เลย เพราะเส้นทางสายนี้จำเป็นจะต้องสำเร็จและอยู่รอดได้จนผมจะเกษียณไปเท่านั้น

ในใจลึกๆ ผมคิดอยู่ว่าตอนนี้อายุผมยังไม่ถึงสามสิบ ยังพอมีโอกาสในการทำงานที่อื่นอยู่ แต่จะให้ผมไปทำงานรับเงินเดือนต่ำกว่าที่ทำงานแห่งที่สองนั้นก็ทำใจไม่ได้ เรื่องเงินเดือนเลยกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจทำงานต่อของผม แต่อย่างไรก็ตามผมไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ ในระหว่างที่หางานที่เหมาะสมอยู่นี้ผมก็ได้ร่างแผนธุรกิจของตัวเองไปด้วย โดยเปลี่ยนจากธุรกิจการค้ามาเป็นการให้บริการ ผมค้นหาตัวเองว่าเหมาะกับงานประเภทไหน และก็พบว่า core competency ของผมอยู่บนอินเทอร์เน็ต อยู่ที่ web application ผมคุ้นเคยและทำงานอยู่บนไซเบอร์สเปซมานาน ผมรู้ขั้นตอนการทำงาน และมีใบเบิกทางเล็กๆ น้อยก็คือพวกประกาศนียบัตรจากสถาบันต่างๆ รับรองพอสมควรซะอีกด้วย ท่าทางธุรกิจนี้จะง่ายที่สุดสำหรับการเริ่มต้นของผม

อีกครั้ง ผมนำเอา 4P โมเดลเข้ามาประยุกต์กับธุรกิจ “การให้บริการเว็บแบบครบวงจร” แล้วก็พบว่า การจัดตั้งบริษัทลักษณะนี้เป็นการจัดการกับคนโดยตรง เพราะ Product ได้มาจากความรู้ ความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน Price ส่วนใหญ่เกิดจากค่าจ้าง ค่าพัฒนาบุคคลากร ให้พวกเค้าพอใจกับงานที่ทำ ส่วน Place ก็คือสถานที่ทำงานที่จะทำให้พวกเค้าเหล่านั้นมีความสุขสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้ทั้งวัน และในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ซึ่งทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือเมื่อมาเยี่ยมชมออฟฟิศ สุดท้าย Promotion ก็ขึ้นอยู่กับไอเดียการบริหารจัดการ ความคิดสร้างสรรค์ของผมที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้ ทำให้คนเหล่านั้นมีงานที่ดีทำนั่นเอง คิดๆ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก

ในขณะเดียวกันผมได้มีโอกาสอ่านเกี่ยวกับ 4C โมเดล ซึ่งเป็นการปรับปรุงจาก 4P โมเดลโดยจับที่มุมมองของผู้บริโภคเป็นหลักว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าและบริการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภค ใครๆ ก็บอกว่าเศรษฐกิจในยุคนี้จะมีอินเตอร์เน็ตเป็นแรงผลักดันให้องค์กรทุกองค์กรต้องปรับตัว เมื่อมีอินเทอร์เน็ต กลไกการเข้าถึงข้อมูลจะเปลี่ยนไป ระบบพ่อค้าคนกลางก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ทำให้อำนาจซื้อของผู้บริโภคจะสูงขึ้น จุดนี้สังเกตได้ชัดเจนจากกระแสระบบบัตรเครดิตที่กำลังแพร่ไปยังผู้บริโภคทุกระดับชั้น สิ่งเหล่านี้จะเอื้อให้ตลาดเปิดมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันมันสามารถที่จะตายได้อย่างเร็วด้วยเช่นกัน เมื่อเอาแนวคิดนี้มาเปรียบเทียบกับธุรกิจที่ผมจะทำ ข้อสังเกตที่ผมเห็นก็คือ

Consumer (Product) เนื่องจากต่อไปเราจะไม่สามารถขายสิ่งที่เราผลิตได้อีก แต่เราจะสามารถขายสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการได้ ตลาดให้บริการและจัดทำเว็บในไทยจึงเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก เพราะลูกค้าอย่างเช่น ผู้ประกอบการ SME มีการเติบโตอยู่ในอัตราที่สูง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้การทำเว็บมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ต้องการผู้เชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำปรึกษาหรือผลิตเว็บขึ้นแทนตัวผู้ประกอบการเอง

Cost (Price) หากมองขยายออกไปจากตลาด SME ไทยไปสู่การตอบสนองตลาดโลก ก็จะพบว่าประเทศไทยเรานั้นมีต้นทุนในการจ้างบุคลากรที่ต่ำกว่าอีกหลายๆ ประเทศ ในมุมมองมหภาคทำให้ธุรกิจนี้น่าสนใจ เพราะเราสามารถลดต้นทุน ทำสิ่งที่เหมือนกันให้คุณภาพเท่าเทียมกันหรือดีกว่าได้ และถ้าหากจะมองในระดับจุลภาคก็คือการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ไม่ได้สู้กันที่ราคา แต่สู้กันที่ต้นทุน

Convenience (Place) เพราะความรีบเร่งและระบบการจราจรที่ติดขัด ทำให้ผู้บริโภคปรับความคิดมาเป็นความสะดวกในการหาซื้อ ฉะนั้นผู้ใดที่อำนวยความสะดวกในการหาซื้อสินค้าหรือบริการได้ ผู้นั้นยอมสามารถอยู่รอดได้ แล้วธุรกิจผมหละ แน่นอนลูกค้าไม่มีความจำเป็นจะต้องมาหาผม portfolio จะทำให้ลูกค้ารู้จักเรา และลูกค้ายังสามารถเข้าถึงเราได้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต ทำเลทางกายภาพจึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกต่อไป ในทางตรงกันข้ามผมจะต้องมียุทธศาสตร์อื่นๆ ที่เหมาะสมในการเข้าถึงลูกค้า

Communication (Promotion) ในกระบวนการส่งเสริมการขายนั้น การสื่อสารสำคัญที่สุด ฉะนั้นนักการตลาดจึงลดความสำคัญของการทำโปรโมชันแบบแยกส่วน ว่าจะโฆษณาอย่างไร จะลดแลกแจกแถมอย่างไร แต่ให้มองเป็นองค์รวม เป็นการสื่อสารและการเข้าถึงผู้บริโภคแทน เช่นเคยส่วนนี้ผมก็คงจะต้องลงมือทำก่อน จึงจะรู้ว่าเหมาะสมไหม ดีหรือไม่ แต่ที่ผมสามารถทำได้ล่วงหน้าคือการวางแผน (ที่ผมกำลังทำอยู่)

มาถึงตรงนี้ คงรู้สึกว่าค่อนข้างจะวิชาการสักหน่อย แต่จริงๆ แล้วผมแอบมั่วเข้าข้างตัวเองในการหาเหตุผลมาสนับสนุนสิ่งที่คิดว่าอยากจะทำว่ามันเป็นสิ่งที่ดี และใช้เวลาอย่างไม่คุ้มค่าเท่าที่ควรกับการนั่งทำสิ่งเหล่านี้อยู่บ้าน ผมยังบังคับตัวเองให้โฟกัสกับมันไม่พอ ผลลัพธ์ไม่น่าประทับใจ ผมชักจะเริ่มเบื่อซะแล้ว แต่ในเมื่อไม่มีงานประจำนี่คือสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำเพื่อเติมคุณค่าให้กับชีวิตของผม แล้วจุดเปลี่ยนในชีวิตก็เข้ามาเมื่อผมได้วิเคราะห์ไปถึงรายละเอียดของการให้บริการเว็บแบบครบวงจรของบริษัทผม จุดเปลี่ยนที่ว่าก็คือการคาบเกี่ยวกับบริการของบริษัทรุ่นพี่คนหนึ่ง พี่ภาค ซึ่งบริษัทเค้าเป็นองค์กรให้บริการเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตระดับประเทศ ผมก็เลยเข้าไปคุยด้วย และสิ่งที่ตามมาคือการชักชวนให้ไปวางแผนธุรกิจให้องค์กรเค้า

วันที่ยี่สิบเอ็ดมีนาคม วันเริ่มงานอย่างไม่เป็นทางการกับสถานที่ที่ผมถือให้เป็นที่ทำงานแห่งที่สามของผม การทำงานครั้งนี้ไม่ใช่งานประจำอย่างเคย เค้าเรียกผมว่า Freelance เป็นการทำงานในลักษณะของสัญญาระยะสั้น โดยมีเป้าหมายที่แผนธุรกิจเพื่อที่จะทำให้องค์กรแห่งนี้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักกันของบุคคลทั่วไป ผมรับปากไปทำโดยไม่ได้คาดหวังเงินมากมายอีกต่อไป เพราะผมมองว่านี่แหละคือโอกาสให้ผมจะสร้างชื่อและพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งก่อนจะก้าวไปสู่ธุรกิจของผมเอง

คำสำคัญ (Tags): #4p#4c#โอกาส#web application#sme
หมายเลขบันทึก: 129575เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2007 13:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท