(ต่อจากตอนที่แล้ว)
—————————————– เราออกเดินทางไปยังเมืองอัตสึ (Otsu) เพื่อไปศึกษาดูงานมหาวิทยาลัยชิกะ ซึ่งมีโครงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เราไปถึงตอนบ่ายแก่ๆ จึงมีเวลาไปชมวัดสำคัญของเมืองอัตสึ นั่นคือ วัดอิชิยามา การไปชมวัดอิชิยามา เราจะไปโดยรถเมล์ระบบหยอดเหรียญ ค่าโดยสาร <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">คนละ 220 เยน (75 บาท) รถวิ่งเพียงสองป้าย ใช้เวลา 5 นาที ก็ถึงแล้ว ความจริงถ้าจะเดินไปก็ไม่ไกลมากนัก แต่ที่ขึ้นรถก็เพื่อความสบายและเป็นประสบการณ์ วัด Ishiyama เดิมเรียกว่า Setsu Kouzan ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Seta ทางตอนใต้ของเมือง Otsu วัดแห่งนี้ตั้งบนเนินเขาลูกหนึ่งชื่อ Garan เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในช่วงยุคนาราเป็นเมืองหลวง โดยถูกค้นพบเมื่อ 1,250 ปีมาแล้ว สิ่งที่น่าสนใจเริ่มที่ประตูทางเข้าที่เรียกว่า ประตูแห่งภูเขา (Todaimon) สร้างเมื่อ 750 ปีมาแล้ว ริมประตูทั้งสองด้านมีรูปแกะสลักยืน ตนหนึ่งคือ โอ อีกตนหนึ่งคือ อม รวมกันแล้วออกเสียงเป็น โอม คล้ายคำเริ่มร่ายมนต์ ในภาษาญี่ปุ่นเรียก Tankei และ Unkei </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> เมื่อผ่านประตูวัดเข้ามาและขึ้นบันไดไปบนเนินเขาจะพบหอพระ Tahoto ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ 750 ปีมาแล้ว และถือว่าเป็นหอพระที่เก่าแก่ที่สุดและสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น </p><p> </p>ทางการได้นำรูปหอพระนี้ไปพิมพ์บนแสตมป์ด้วย ภายในหอพระเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป Dainichi เมื่อเดินขึ้นไปบนเนินอีกชั้นหนึ่ง จะพบวิหารใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดชิกะ สร้างขึ้นเมื่อ 850 ปีที่แล้ว ในยุค ฟูจิวะระ ภายในวิหารมีพระพุทธรูปสำหรับสักการะบูชาและเสี่ยงทาย <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ภายในวิหารยังมีห้องสำคัญห้องหนึ่ง เรียกว่า “The Room of Genji” ซึ่งเป็นคำพูดของกวีหญิง Murasaki ผู้ที่เขียนเรื่อง The Tale of Genji ในห้องนี้ในคืนพระจันทร์เต็มดวงเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1004 หรือ พันปีมาแล้ว เสียดายที่ผู้เขียนไม่มีความรู้ในวรรณกรรมเรื่องนี้ คงต้องหาโอกาสศึกษาค้นคว้าบ้าง</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>
บริเวณวัดอิชิยามานี้มีบรรยากาศเป็นธรรมชาติมาก มีทั้งป่าไม้ธรรมชาติและสวนดอกไม้ ที่ปลูกเรียงรายทั่วไป ทั้งดอกซากุระ ดอกบ๊วย ดอกท้อ เสียดายที่ยังไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ยังบานสะพรั่งไม่มากนัก โดยเฉพาะดอกซากุระที่พวกเราอยากเห็น ยังไม่ออกดอกเลย
บริเวณจุดชมวิวบนวัดก็มีหลายจุด โดยเฉพาะจุดที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมือง Otsu ที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำ Sata และไกลออกไปจนสุดสายตาก็จะเห็นทะเลสาบบิวา (Biwa Lake) อันกว้างใหญ่ไพศาล
เมือง Otsu เป็นเมืองที่มีความสวยงามน่าอยู่มาก มีลักษณะคล้ายคลึงกับเชียงใหม่ เพียงแต่เชียงใหม่ไม่มีทะเลสาบอันกว้างใหญ่ใกล้เมืองแบบนี้ ทะเลสาบบิวา เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สามารถผลิตน้ำจืดหล่อเลี้ยงผู้คนกว่า 30 ล้านคน ที่อยู่ในส่วนคันไซ (เกาะทางตะวันตก) ในช่วงฤดูร้อน ชาวเมืองนิยมมาพักผ่อนบนหาดทรายริมทะเลสาบ บ้างก็ว่ายน้ำ หรือเล่นกีฬาทางน้ำแบบเดียวกับชายทะเลทั่วๆ ไป
เมื่อเสร็จจากเที่ยวชมอิจิยามาแล้วก็เข้าพบผู้บริหารของมหาวิทยาลัยชิกะ ซึ่งได้ต้อนรับและเชิญไปรับประทานอาหารค่ำในงานเลี้ยงอำลาอาจารย์ผู้เกษียณอายุราชการที่โรงแรมบิวาโกะ <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับอาจารย์ทุกท่านอย่างเป็นทางการ พวกเราถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยชิกะให้เกียรติเชิญเราไปร่วมงานเลี้ยงสำคัญภายในของเขา </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> โรงแรมบิวาโกะ เป็นโรงแรมที่หรูหราใหญ่โตริมทะเลสาบบิวาที่สวยงามบรรยากาศโรงแรมดีมาก มองจากระเบียงกระจกของห้องจัดเลี้ยงชั้นบนสุด จะเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบที่สวยงามมาก โดยเฉพาะทะเลสาบด้านหน้าโรงแรมจะมีน้ำพุพวยพุ่งเป็นสายโค้ง ยามค่ำเขาจะเปิดไฟสีประดับไว้ดูน่าตื่นตาตื่นใจดี ทราบมาว่า ใครที่ไม่ค่อยมีสตางค์อย่างผู้เขียนนี้อยากมาพักโรงแรมหรูริมทะเลสาบที่นี่ต้องคิดกันหนักหน่อย คืนหนึ่งอาจต้องใช้เงินเดือนทั้งเดือนพักได้สักคืนสองคืนกระมัง</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> งานเลี้ยงอำลาอาลัยอาจารย์ผู้เกษียณอายุราชการของมหาวิทยาลัยชิกะดูหรูหราเหมาะสมกับสถานที่และบรรยากาศมาก เพราะเขาจัดอาหารแบบธรรมเนียมตะวันตก เมนูอาหารแบบฝรั่งเศส 8 อย่าง ถูกเสริฟทีละอย่างพร้อมเครื่องดื่มให้กับแขกถูกต้องตามธรรมเนียม เช่นเสริฟปลา ก็ต้องเสริฟไวน์ขาวควบคู่กันไป อุปกรณ์ช้อน ส้อม มีด และแก้วรูปทรงและขนาดต่างๆ ถูกจัดวางเต็มโต๊ะ เราต้องเลือกใช้ให้ถูกชนิดอาหาร ผู้เขียนก็ชักลืมๆ ไปหมดแล้วว่าอะไรใช้กับอะไร ไม่ได้ถามอาจารย์วรพล จากโปรแกรมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมาเสียด้วย ก็ได้แต่ชำเลืองมองชาวบ้าน เอ๊ย ไม่ใช่ ที่จริงเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยซึ่งได้รับเชิญมาและในบัตรเชิญจะระบุไว้ชัดเจนว่าใครนั่งโต๊ะไหน โต๊ะหนึ่งมีราว 10 คน สำหรับพวกเราก็ถูกจับแยกนั่งกระจายกันไปเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสสนทนาทำความรู้จักกับอาจารย์ของเขา ผู้เขียนกับผู้นำนักศึกษาภาคพิเศษได้นั่งร่วมโต๊ะกับท่านรองอธิการบดี และอาจารย์อีก 8 ท่าน และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดกันอย่างออกรสออกชาติเพราะภาษาอังกฤษของเราไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร แต่ก็พอเอาตัวรอดได้ตลอดงานเลี้ยงเหมือนกัน โดยเฉพาะได้พูดคุยกับอาจารย์ไซโตะมากเป็นพิเศษเนื่องจากนั่งใกล้กัน และท่านเองก็ไม่เคยมาเที่ยวเชียงใหม่เลย แต่เคยได้ยินได้ฟังและเห็นทางอินเทอร์เน็ตบ้างก็ทราบว่าเชียงใหม่สวยงามมาก ถ้ามีโอกาสท่านจะไปเชียงใหม่แน่นอน <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย พิธีเปิดก็เพียงแต่เชิญอธิการบดีขึ้นไปกล่าวเปิดงาน กล่าวแสดงมุทิตาจิตแด่อาจารย์ผู้เกษียณอายุ 3 ท่าน (มหาวิทยาลัยชิกะเกษียณอายุราชการ เมื่อครบ 65 ปี) และเชิญชวนดื่มแชมเปญต้อนรับทุกคน รวมทั้งต้อนรับพวกเราด้วยจากนั้นกล่าวเปิดงาน อาหารเริ่มเสริฟ ไม่นานนักพิธีกรก็กล่าวเชิญอาจารย์ผู้เกษียณแต่ละท่านกล่าวแสดงความรู้สึกความผูกพันที่มีต่อมหาวิทยาลัย บางท่านก็ร้องเพลงประกอบด้วย อาจารย์ไซโตะช่วยเป็นล่ามแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังว่าแต่ละท่านพูดถึงอะไรบ้างพอสังเขป </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>
เรื่องการเกษียณอายุราชการที่อายุ 65 ปี ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์สูง ไว้ให้นานที่สุด ซึ่งก็ต้องพิจารณาถึงสุขภาพด้วย ที่ประเทศญี่ปุ่นปัญหาขาดแคลนประชากรเด็กเริ่มรุนแรงขึ้น รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้เพื่อไม่ให้สัดส่วนประชากรแตกต่างกันมากเพราะจะเกิดปัญหาด้านอื่นๆ ตามมามากมายโดยเฉพาะการพัฒนาประเทศในอนาคต มหาวิทยาลัยชิกะมีลักษณะคล้ายกับมหาวิทยาลัยของเราอย่างหนึ่ง นั่นคืออาจารย์ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในวัยสูงอายุ อาจารย์วัยหนุ่มสาวมีน้อยมาก และคงจะเกิดปัญหาเมื่ออาจารย์ส่วนใหญ่นั้นเกษียณอายุราชการไป อาจารย์วัยหนุ่มวัยสาวที่มาใหม่ๆ ยังไม่มีประสบการณ์หรือการสั่งสมความรู้ยังไม่มากนัก ก็อาจมีปัญหาในการทำงานเพราะขาดคำชี้แนะ ถึงตรงนี้ผู้เขียนก็เห็นด้วยกับอาจารย์ไซโตะ และมองเห็นภาพชัดเจนมากที่มหาวิทยาลัยของเรา ใน 5 ปี ข้างหน้านี้จะมีอาจารย์เกษียณอายุราชการไปเป็นจำนวนมาก อาจารย์และบุคลากรที่มาทดแทนอาจเชื่อมรอยต่อได้ไม่สนิทนัก เรื่องนี้ต้องฝากผู้บริหารของมหาวิทยาลัย ได้ช่วยกันคิด วางแผนแก้ปัญหาให้ทันท่วงที และคงต้องถือเป็นเรื่องจริงจัง ด้วย ไม่ใช่แค่หาบุคลากรมาทดแทนเท่านั้น แต่อาจารย์และบุคลากรวัยหนุ่มสาวที่ทำงานอยู่ในขณะนี้ มหาวิทยาลัยต้องให้โอกาสเขาได้ทำงานเพิ่มพูนประสบการณ์ให้มากขึ้น ต้องใช้เงินในการพัฒนาบุคลากรให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นให้ทุนการศึกษา ทุนวิจัย ให้โอกาสไปศึกษาดูงานทั้งภายในและต่างประเทศ และฝึกฝนทักษะการทำงาน สร้างเสริมประสบการณ์อย่างเต็มที่ จะใช้เวลาช่วงวันหยุด ปิดภาคเรียน หรือช่วงที่คิดว่าเหมาะสมก็ได้ทั้งนั้น ที่สำคัญไม่ควรวางระเบียบอะไรที่ทำให้ติดขัดจนอาจารย์ไม่อยากจะพัฒนาตัวเอง เพราะไม่เช่นนั้นมหาวิทยาลัยจะสูญเสียโอกาสอันดีในการพัฒนามหาวิทยาลัย
ยกตัวอย่างตัวผู้เขียนเอง ก่อนหน้านี้ประมาณ 6 - 7 ปี ผู้เขียนได้รับความไว้วางใจ และโอกาสจากผู้บริหารให้ได้ไปสอนภาษาไทยที่มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่งทำให้ผู้เขียนพัฒนาความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้านการสอนภาษาไทยให้แก่ชาวต่างประเทศ จนบัดนี้ก็สามารถทำงานสนองคุณแก่มหาวิทยาลัยได้จนถึงทุกวันนี้ ทุกๆ ปี มีนักศึกษาชาวต่างประเทศมาเรียนมาอบรมภาษาไทยที่มหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจารย์ผู้ใหญ่ก็ได้ฝึกฝนอบรมชี้แนะผู้เขียนในด้านนี้มาโดยตลอด ทำให้สามารถเชื่อมต่อโครงการสอนภาษาไทยแก่ชาวต่างประเทศให้ยาวนานได้ต่อไป
งานเลี้ยงเลิกแล้ว เขาจัดได้กระชับ เรียบง่าย แต่หรูหราและน่าประทับใจก่อนกลับบ้านมหาวิทยาลัยยังแจกของเป็นที่ระลึกติดมือกลับไปบ้านด้วยทุกคน
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> รุ่งเช้า อัตสึชุ่มฉ่ำด้วยฝนที่โปรยปรายต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางคืน พร้อมกับความหนาวเย็นที่ดูจะหนาวขึ้นกว่าเมื่อวาน อาจารย์มาสะ อาจารย์ศศิพินต์ และอาจารย์ชไมมนก็มารับพวกเราไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารของมหาวิทยาลัย เสร็จแล้วก็พาไปยังอาคารอำนวยการเพื่อฟังคำบรรยายสรุปและศึกษาดูงานตามหน่วยงานต่างๆ </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> การศึกษาดูงานการจัดการเรียนการสอนภาษาเริ่มต้นที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเพราะอยู่ในบริเวณอาคารเดียวกัน ห้องสมุดที่วิทยาเขตแห่งนี้ค่อนข้างเล็ก เพราะให้บริการนักศึกษาในคณะศึกษาศาสตร์เป็นหลัก แต่จำนวนหนังสือก็มีถึง 2 แสนเล่มซึ่งก็ไม่น้อยเหมือนกัน หนังสือที่นี่ใช้ระบบบาร์โค๊ดทั้งหมด การยืม-คืนใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ทำงานทั้งหมดเพียง 5 คน เพราะส่วนบริการต่างๆ จะให้นักศึกษาบริการตัวเอง เช่น ที่ห้องบริการคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต มีทั้งหมด 8 เครื่อง เมื่อต้องการพิมพ์เอกสารทางเครื่องปริ๊นเตอร์ ก็สามารถทำได้โดยใช้ระบบหยอดเหรียญ รวมถึงเครื่องถ่ายเอกสาร ก็เป็นระบบหยอดเหรียญเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีบริการเครื่องเล่น VCD DVD อีกด้วย</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> ห้องสมุดที่นี่ดูสะอาด ทันสมัย แต่ที่ชอบมากที่สุด คือ มีชั้นหนังสือที่นักศึกษาของเขาไปศึกษาอบรมที่ประเทศไหน เขาก็เอาตำรับตำราที่ได้จากการเรียนมาบริจาคให้ห้องสมุดเพื่อเป็นวิทยาทานแก่รุ่นน้อง เขาจัดเป็นประเทศๆ น่ารักมาก ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเราน่าจะนำความคิดอย่างนี้มาปรับใช้บ้างก็ดี ชั้นหนังสือที่อาจารย์เราชอบมากที่สุดก็เห็นจะเป็นชั้นหนังสือเด็ก ที่มีหนังสืออ่านสำหรับเด็กมากมาย น่าสนใจทั้งสิ้น คงจะเป็นหนังสือที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับสาขาวิชาที่เกี่ยวกับ Chiled Study ซึ่งในบ้านเมืองของเราดูจะยังขาดแคลนหนังสือสำหรับเด็กและเยาวชนค่อนข้างมาก ถ้าห้องสมุดของเราจะรวบรวมหนังสือสำหรับเด็กไว้เป็นหมวดหมู่หนึ่งก็น่าจะดีไม่น้อย</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> เสร็จจากการดูห้องสมุด อาจารย์มาสะและซูกิเอะ ก็พาพวกเราไปที่ห้องฝึกการเขียนอักษรคันจิด้วยพู่กัน โดยอาจารย์นากามูระ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการสอนอักษรคันจิเป็นผู้บรรยาย ซึ่งท่านจะให้พวกเราฝึกเขียนจริงๆ ด้วย</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> อาจารย์นากามูระอธิบายว่า อักษรคันจิ เป็นอักษรที่มีรากฐานมาจากอักษรภาษาจีน ซึ่งเขียนได้ยาก อ่านก็ยาก ปัจจุบันเยาวชนคนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นค่อนข้างจะไม่สนใจเรียนเขียนอ่านกันสักเท่าไร อักษรภาษาญี่ปุ่นที่ใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวันนั้นไม่ใช้อักษรคันจิ แต่จะใช้อักษรที่เรียกว่า อักษรฮานากาตะ ซึ่งมีอิทธิพลในชีวิตประจำวันมากกว่า อาจารย์นากามูระอธิบายวิธีการจับพู่กัน การจุ่มหมึก และการนั่งเขียนในท่าที่ถูกต้อง ตลอดจนอธิบายลักษณะตัวอักษรคันจิที่ถูกต้องสวยงามด้วย ดูท่าทางลูกศิษย์ชาวไทยทุกคนจะตั้งอกตั้งใจกันเต็มที่ จากนั้นก็ลองให้เราฝึกทดลองเขียนบนกระดาษเป็นคำๆ โดยให้นักศึกษาญี่ปุ่นนั่งประกบพวกเราหนึ่งต่อหนึ่งเพื่อให้คำแนะนำ ฝึกเขียนไปก็ชมกันไป เสียงกู๊ดๆ ดังเป็นระยะๆ จนสำเร็จออกมาโชว์จนได้</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> จากห้องฝึกเขียนคันจิ เราไปดูห้องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเรียนการสอนซึ่งเป็นห้องขนาดเล็ก มีประมาณ 30 เครื่อง ทั้งหมดเช่ามาจากบริษัท ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่บริษัทมาดูแล <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ซ่อมแซมให้ หมดอายุการใช้งานก็เปลี่ยนใหม่ ซึ่งแนวคิดนี้น่าจะดีมาก เพราะไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณเพื่อไล่ตามเทคโนโลยี่ เพราะคอมพิวเตอร์แต่ละรุ่นนั้นพัฒนาไปเร็วมาก จากนั้นเราไปดูห้องปฏิบัติการทางภาษา เพื่อใช้ในการฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศ (ถ้ามี Solfwere) ซึ่งห้องหับเครื่องมือของเขาดูทันสมัย จำนวนก็เพียงพอต่อการใช้ในการเรียนการสอน</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> เราสิ้นสุดการดูงานเที่ยงพอดี จากนั้นก็เป็นการไปชมสถานที่ต่างๆ ในเมืองอัตสึต่อไป <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center" class="MsoNormal" align="center"> </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">(ยังมีต่อ)</p></span>
คุณ Little Jazz
ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้ แต่ที่คุณ serch มาให้อ่านนี้ ใช่ครับ คลิกไปที่ อิชิยามา ก็จะเป็นที่นี่ครับ ที่กวีหญิงผู้นี้รำพันไว้ ผมก็จะค่อยๆ อ่านต่อไปครับ เรื่องภาษาอังกฤษกับผมนี่ต้องค่อยๆ เจรจากันไปเรื่อยๆ ครับ "ใช้เวลาสักนิด ชีวิตจะเข้าใจ"
ขอบคุณมากครับที่คุณ Little Jazz นำอะไรดีๆ มาให้ ขอเยลให้เลย
คุณ naree suwan ครับ
ซากุระ คือจิตวิญญาณหนึ่งของชาวญี่ปุ่น ผมเห็นแล้วก็ประทับใจมากครับ ขนาดเราคนไทยยังเป็นปลื้ม ถ้าเป็นชาวญี่ปุ่นเขาจะปลื้มขนาดไหน ก็เหมือนกับดอกบัวที่ผูกพันชีวิตเรากับพระพุทธศาสนาไว้ด้วยกันนั่นเองครับ