บ้านหนองหมูเป็นบ้านที่อยู่ฝั่งขวาของลำห้วยบางทราย มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ดงหลวงในหลายแง่ด้วยกัน ก่อนปี พ.ศ. 2546 ในช่วงฤดูน้ำหลากนั้น ชาวบ้านหนองหมูต้องเหมือนหมู่บ้านที่ถูกปล่อยเกาะ เพราะไม่มีทางเข้าออกสังคมภายนอก น้ำในลำห้วยบางทรายเอ่อท่วมท้นตะหลิ่ง มีสะพานแขวนที่พอเอารถมอเตอร์ไซด์จูงลากผ่านไปได้บ้าง แต่การขนส่งสินค้า การนำผลผลิตจากไร่นาออกสู่ตลาดต้องทำเฉพาะฤดูแล้งหรือก่อนฤดูฝนเท่านั้น โดยลงไปก้นลำห้วยบางทรายนั่น เพิ่งจะมีสะพานคอนกรีตในปลายปี 2548 นี่เอง แต่ก็เกิดเดินขบวนของชาวบ้านจนผมต้องกระโดดเข้าไปเผชิญหน้าอย่างตื่นเต้นจริงๆ
ในทางประวัติศาสตร์ บ้านหนองหมูเป็นบ้านแรกที่ชาวไทโซอพยพมาจากคำชะอีข้ามภูเขาไปลงที่ดงหลวง ก่อนที่จะแยกย้ายออกไปเป็นบ้านพังแดง นาหลัก มะนาว โพนสว่าง ในภายหลัง โดยต่างก็ไปหาที่ดินทำกินใหม่ กลายเป็นตำบลพังแดงในปัจจุบัน ดังนั้นทั้งตำบลจึงมีนามสกุลเดียว คือ เชื้อคำฮด ท่านที่สนใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่อมมีคำถามตามมามากมาย การที่ทั้งตำบลมีประวัติศาสตร์ร่วมกันเช่นนี้ ย่อมมีอะไรเกี่ยวเนื่องกันแน่นอน
ลำห้วยบางทรายไหลเคี้ยวคด บ้านหนองหมูตั้งอยู่ติดกับ "ภูไก่เขี่ย" และ "ภูเพ็ก"
ทั้งตำบลเคารพผีตัวเดียวกัน หรือเคารพปู่ตาแห่งเดียวกัน คือที่บ้านหนองหมูซึ่งเป็นรากเหง้าเดิมของเขาก่อนแยกออกไปนั่นเอง ทุกปีทุกหมู่บ้านจึงหมุนเวียนกันมาเป็นเจ้าภาพไหว้ปู่ตาก่อนลงทำนา และครั้งที่สองก่อนเกี่ยวข้าว โดยใช้ไก่มาเซ่นไหว้ที่ดงปู่ตาบ้านหนองหมู มีพ่อเกี้ยงเป็นเฒ่าจ้ำใหญ่ เป็นผู้ทำพิธีตามประเพณีโบราณ
นี่คือป่าปู่ตาเก่าแก่ ที่พี่น้องไทโซ่ทั้งตำบลจะต้องมาทำพิธีไหว้เจ้าปู่ ปีละ 2 ครั้ง
ยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนไป การไหว้ปู่ตาก่อนลงนากับก่อนเกี่ยวข้าวนั้นเริ่มเกิดปัญหาเพราะเมื่อสถานที่ทำนาแตกต่างไปย่อมทำนาและเกี่ยวข้าวไม่ตรงกัน การจะมาคอยให้พร้อมจึงค่อยทำนั้น ขัดกับหลักการการดำรงวิถีชีวิต ที่ให้สอดคล้องกับลักษณะภูมินิเวศน์ บ้านพังแดงจึงขอแยกผีออกไป บ้านโพนสว่างก็แยกผีออกไป ส่วนที่เหลือก็ยังมาทำพิธีร่วมกันมิได้ขาด การแยกผีออกไปก็มีส่วนทำให้ประเพณีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปด้วย กล่าวคือ ที่วัดดอยน้อยอันเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟนั้น โบราณจะมีพิธีใหญ่ขึ้น โดยคนทั้งตำบลจะเดินทางไปร่วมงานกันเรียกพิธีขอฝน แต่ต่อมาบ้านโพนสว่างซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟนั้น แยกผีออกมาจากบ้านหนองหมูแล้วก็อ้างความเป็นเจ้าของที่ภูเขาไฟ จัดทำพิธีขอฝนเอง เป็นเจ้าภาพเอง ทำให้ทั้งตำบลต่อต้านและพิธีกรรมต่างๆก็จางลงจนไม่มีปรากฏอีกแล้ว
บนดอยภูเพ็กมีสำนักสงฆ์ของพระสายปฏิบัติที่ท่านเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์ป่าชุมชนแห่งนี้จนได้รับรางวัลพระราชทานธง
บ้านหนองหมูมีวัดป่าภูเพ็ก เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ที่พระอาจารย์ภมรศักดิ์ชาวกรุงเทพฯมาเป็นเจ้าอาวาส เป็นพระปฏิบัตืที่อนุรักษ์ป่าไม้ และร่วมมือกับชาวบ้านดูแลป่าไม้จนป่าชุมชนบ้านหนองหมูได้รับรางวัลธงพระราชทานจากองค์สมเด็จมาหลายปีแล้ว ป่าภูเพ็กจึงเป็นแหล่งศึกษา เรียนรู้ เรื่องการจัดการป่าชุมชนของท้องถิ่น
พ่อเกี้ยง เชื้อคำฮด เป็นจ้ำใหญ่ของตำบลพังแดง ผู้รอบรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ใครสนใจเรียนรู้ต้องมากราบเรียนจากท่านครับ
ผู้บันทึกพบผู้เฒ่าบ้านหนองหมูนี้ใช้เครื่องมือจุดไปแบบโบราณคือเอาเศษหินมาตีกับเหล็กเป็นประกายไฟแล้วไปติดปุยฝ้ายแล้วเป่าจนลุกโพลน พ่อเฒ่าขาวอายุ 70 กว่าแล้วยังใช้เครื่องมือบุราณนี้อยู่ โดยท่านบอกว่า ประหยัด ไม่ต้องกลัวน้ำมันหมด ไม่ต้องซื้ออะไร หาได้เองในหมู่บ้านดูได้ที่ เรื่องเล่าจากดงหลวง 39 “บ่ะไฟโป๊ก” ที่ดงหลวง
สะพานแขวนของเก่า เคียงคู่กับสะพานคอนกรีตของใหม่ ถนนต่อจากสะพานเข้าบ้านหนองหมู อันเป็นเรื่องที่ชาวบ้านเกิด Mob
ครั้งหนึ่งในปี 2546-2547 ผู้บันทึกเผชิญการเดินขบวนของชาวบ้านต่อต้าน สปก.ที่ผมทำงานอยู่ เรื่องของเรื่องคือความผิดพลาดของราชการที่ไม่ประสานงานกันทำแผนก่อสร้างถนนซ้ำเส้นทางกันส.ป.ก.ก็จะสร้าง กรมทางหลวงชนบทก็จะส้ราง แต่ทั้งสองหน่วยงานไม่เคยคุยกันก่อนว่าตัวเองมีแผนงานนี้อยู่ บังเอิญว่าแบบถนนของ กรมทางหลวงชนบทนั้น มีความกว้าง 6 เมตร ของ ส.ป.ก.กว้างเพียง 4 เมตร ชาวบ้านบอกต้องการให้กรมทางหลวงชนบทเป็นผู้สร้าง แต่เจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.ไม่ยอมบอกว่าทำเรื่องจ้างผู้รับเหมาแล้วและกำลังเข้าก่อสร้าง โดยอ้างว่าทางกรมทางหลวงชนบทแม้จะมีแผนงานก็สร้างไม่ได้ เพราะที่ดินทั้งหมดนั้นเป็นของ ส.ป.ก. จะสร้างถนนก็ต้องขออนุญาต ส.ป.ก.ก่อน
"อีฉันไม่รู้หร๊อก อินเตอร์หนก อินเตอร์เน็ต น่ะ.. แต่ฉันรู้การทำนาทำสวน เข้าป่าหาของกิน ไม่ต้องซื้อ จะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับยายก็มา"
ชาวบ้านไม่ชอบใจ ส.ป.ก.จึงรวมตัวกันทั้งหมู่บ้านจะเดินขบวนไปร้องผู้ว่าราชการจังหวัด ผมต้องลงไปลุยเอง โดยเผชิญหน้าขบวนชาวบ้านแล้วขอเจรจาดีดี คุยกันให้เข้าใจก่อน ซึ่งท่านที่เคยผ่าน Mob มาแล้วย่อมทราบดีว่าบรรยากาศมัน เป็นอย่างไร แต่ความที่เคยผ่าน Mob มาแล้วจึงรู้ดีว่าควรจะเจรจาอย่างไรจึงจะมัดใจชาวบ้านได้ ในที่สุดเรื่องก็ยุติลงที่ให้ ส.ป.ก.สร้างถนนต่อไป โดยใช้มาตราฐาน กรมทางหลวงชนบท และกรมทางหลวงชนบทก็สร้างสะพานและนำงบประมาณส่วนเกินไปทำถนนให้แข็งแรง เฮ่อ ประสบการณ์เดิมช่วยได้ จิตวิทยามวลชนช่วยได้
ความที่บ้านหนองหมูเป็นพี่ใหญ่ในประวัติศาสตร์สร้างบ้านแปงเมืองของตำบลพังแดง ย่อมมีผู้เฒ่าผู้แก่ที่น่าสนใจหลายท่าน ใครจะศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ต้องมาบ้านหนองหมูครับ เมื่อเร็วๆนี้ก็ทราบว่า อาจารย์ทางประวิติศาสตร์ ของ มข.เข้าไปคุยกับพ่อเกี้ยงเพื่อสัมภาษณ์ ในการทำงานกับหมู่บ้าน กับชุมชนนั้น หากเราเข้าใจพัฒนาการท้องถิ่นแล้ว เท่ากับเราอ่านลายแทงขุมทรัพย์ออกไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ
เฮฮาศาสตร์ 3 เราจะเดินทางผ่านบ้านหนองหมูครับ
สวัสดีครัยท่านบางทราย (คนเข็นครก ขึ้นภูเขา)
นี่แหละครับ ที่มาของ หิน เหล็ก ไฟ ตัวจริง เสียงจริง
หวัดดีท่าน สะ-มะ-นึ-กะ
หวัดดีน้องขจิต
สวัสดีครับท่านครูบา
สวัสดีน้องลูกหว้า
มาติดตามเรื่องราวของดงหลวงก่อนที่จะมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมจริงๆ คิดว่าน่าจะทำให้เราเข้าใจสภาพของท้องที่ ชาวบ้าน ประเพณีและวัฒนธรรมมากขึ้น และอินกับการดงหลวงมากขึ้นค่ะ
เคยไปเยี่ยมชมสถานที่บางแห่งแต่เราไม่เคยทราบประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและเป็นไป ทำให้เราได้แต่มองผ่านๆ ไม่เข้าใจ สื่อไม่ถึง จึงขาดโอกาสการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดายค่ะ
ขอให้พี่บางทรายมีข้อมูลมีเล่าสู่กันฟังไปเรื่อยจนถึงวันงานเลยนะค่ะ...อิอิอิ...ขอมากไปมั้ยค่ะเนี่ย....
หวัดดีครับอาจารย์แป๋ว paew
หวัดดีน้องสิงห์ สิงห์ป่าสัก