เสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติ :
การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
(โรงเรียนชาวนา) (๓)
คุณณรงค์ อ่วมรัมย์ :
เป็นการฝึกลูกสอนหลานในพิธีแรกนา
ภาพเด็กจากโรงเรียนรุ่งอรุณที่มาเยี่ยมชมกิจกรรมของเรา เป็นสื่อเล็กๆ
น้อย ๆ ที่ถูกเผยแพร่ออกไปโดยมี สคส.เป็นสะพานสายรุ้งเชื่อม
ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่สื่อเผยแพร่ความสัมพันธ์อยู่ที่เพื่อนจากที่ต่างๆที่มาแลกเปลี่ยนร่วมกันเป็นกัลยาณมิตรร่วมกัน
จะเป็นภาพสุดท้ายครับคือ กลุ่มเครือข่ายที่เป็นพันธมิตรจากสถาบัน สคส.
และ สกว.
และคำสุดท้ายที่อยากจะบอกในเรื่องของนักเรียนชาวนาที่เกิดจากการส่งเสริมของข้าวขวัญเป็นกลอนอีกเหมือนกัน
“ศรัทธาจากปวงชน
ดั่งสายฝนรดกายใจ
สายน้ำที่หลั่งไหล
คือสายใจความศรัทธา
น้ำฟ้าหล่นลงดิน
ทั่วทั้งถิ่นมีข้าวปลา
หล่อเลี้ยงพวกเรามา
ข้าวจากฟ้าปลาจากดิน
งามสมคำบวร
วัดสอนไว้ให้เห็นจริง
โรงเรียนปลูกฝังสิ่ง
สร้างวิชาสร้างผู้คน
หมู่เรือนผู้คนงาม
งามงานศิลป งามงานศาสตร์
ร่วมด้วยดั่งเครือญาติ
สร้างชุมชนก่อสุขเอย”
พวกเราในนามตัวแทนของมูลนิธิข้าวขวัญของนักเรียนสี่พื้นที่ของข้าวขวัญ
ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมรับฟัง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
เรื่องที่คนทำจริงเสียงจริงที่ทำกันมาก่อน ที่ถามสรุป
ณรงค์จากมูลนิธิข้าวขวัญเรียกว่าเป็น NGO
เข้าไปชักชวนชาวบ้านในการที่จะลดต้นทุนเกษตรชีวภาพตอนแรกๆ
บอกว่าก็ต้องใช้เวลา
กำแพงมันใหญ่เรื่องสารเคมีเรื่องความคิดเก่าๆ ของตัวเกษตรกรเอง
แต่ด้วยความพยายามโดยความมีใจกับชาวบ้าน
ชาวบ้านเห็นเขาเป็นลูกเป็นหลานก็ช่วย ๆ ทำกันมา
ในท้ายที่สุดก็ได้ใช้คำว่าโรงเรียนชาวนาเหมือนเปิดห้องเรียนให้เรียนรู้
ความรู้ที่จะใช้ขณะนั้น
ที่ผมถามโรงเรียนที่เปิดในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกพอดีเรียนในช่วงที่ต้องใช้ความรู้จริงเป็นเรื่องที่น่าสนใจหลักสูตรทั้งหลายเป็นหลักสูตรที่ชาวบ้านระบุ
ณรงค์ก็ทำหน้าที่เป็นคุณอำนวยไปเชิญวิทยากร
ในเรื่องราวต่างๆ ก็คงทำกันมา 3 ปี แล้วครบ 3 หลักสูตร
คุณณรงค์ อ่วมรัมย์
:
ขอเสริมอย่างหนึ่งไม่เฉพาะข้าวขวัญมีกระบวนการคิด สรส. สคส.
เพื่อนกัลยาณมิตร เพื่อนพิจิตร เพื่อนทุกอย่าง
เป็นกัลยาณมิตรของเราทั้งหมดที่เอื้ออำนวยเกิดโรงเรียนชาวนาให้เราสมเจตนาเป็นไปในทางที่คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของชาวนา
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
การทำตรงนี้เรื่องเครือข่าย เครือข่ายเพื่อน เครือข่ายวิทยากร
เครือข่ายผู้รู้
ทำให้การเรียนรู้ไม่หยุดนิ่งมีเพื่อนเข้ามาให้กำลังใจให้การสนับสนุนตลอดเวลา
ขอคำถามจากที่ประชุม
คุณลุงสุรินทร์
กิจนิตย์ชีว์ :
ชาวนาภาคกลางตั้งแต่ สิงห์บุรี
อยุธยา สุพรรณ เรื่องการกลับลำ
ทำตามที่คุณอำนวยที่หมายถึงณรงค์ว่า
เป็นเรื่องยากมากกลับลำการทำนาเคมีมาเป็นนาชีวภาพยากมากแต่ทีนี้ในส่วนของชาวนาสุพรรณบุรีโดยเฉพาะที่วัดดาวกลับลำได้
ถามว่าอะไรทำให้คุณกิจ คือคุณสนั่น กลับลำอะไร
ทำให้กลับคือกลับจากนาเคมีเป็นนาชีวภาพ
พอกลับแล้วเกิดผลลัพธ์อะไรกับเราบ้าง ผลลัพธ์หมายถึงส่วนตัว ครอบครัว
ชุมชน สิ่งแวดล้อม อะไรอย่างนี้
อยากจะขอเรียนรู้ตรงนี้หน่อยจากทัศนะมุมมองของคุณอำนวยด้วย
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
สาเหตุคือที่กล่าวมาเกิดประสบการณ์จากตนเองจากการแพ้ยาทำให้อยากจะเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้สารเคมีที่ทำอยู่
แต่เนื่องจากเราไม่มีข้อมูลว่าจะทำอย่างไรไม่มีทางไปเราก็ไปไม่ได้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ลุงสนั่นบอกว่าปัญหาการใช้ยาเพราะว่ามันแพงหรือเรื่องสุขภาพ
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
เรื่องปัญหาการใช้สารเคมีมีผลต่อเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่
เรื่องแพงหรือไม่แพงเกษตรกรไม่คำนึงขอให้ได้ผลอย่างเดียว
แต่เรื่องสุขภาพเป็นสิ่งที่หยุดการใช้สารเคมีได้
อย่างเช่นเกษตรกรไม่มีทางออกมันต้องหาวิธีแก้ไขเมื่อทำเองไม่ได้ก็ต้องจ้างเขา
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ทีนี้ที่ลุงรินทร์ถามว่า
ผลจากการเปลี่ยนเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้างในหลายๆ เรื่อง
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
พอเลิกการใช้สารเคมีทำให้สุขภาพเราดีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มี
และต้นทุนก็ลดไปการใช้จ่ายเริ่มพอกิน พอใช้ ไม่มีปัญหา
ครอบครัวดีขึ้น
เวลาดีขึ้นก่อนนี้กังวลทำนาใช้สารเคมีกังวลมากกลัวหลายเรื่อง
เรื่องแมลงสำคัญไหน
จะต้องจัดตารางการฉีดยากี่ครั้งกี่วันฉีดครั้ง
เดี๋ยวนี้ยิ่งฉีดมากแมลงก็ยิ่งมามากเป็นความทุกข์ของชาวนาเป็นอย่างยิ่ง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ตรงนี้มีคำถามเชื่อมโยงเวลาเรามาเรียนในโรงเรียนชาวนาเรามีปัญหาเรื่องเวลาการจัดสรรเวลา
อุปสรรคของนักเรียนที่มาเรียนนั้นเวลาดำรงชีพมีผลกระทบในการทำงานหรือไม่
คุณลุงสนั่น
เวียงขำ :
ผมว่าไม่มี ถ้าเรารู้จักการจัดการบริหารเวลาได้ถูกต้อง เช่น
วันที่เราจะไปเรียน แทนที่จะจอดอยู่เปล่าๆ
เราขับรถไปเพื่อสูบน้ำขึ้นนาเอาเวลาตรงนั้นไปเข้าโรงเรียนใช้เวลาแค่ 3
ชั่วโมง ไม่มีปัญหาถ้ารู้จักการบริหารเวลา
คุณทรงพล
เจตนาวณิชย์ :
ลุงสนั่นมีวิธีการจัดการกับแปลงรอบๆ
ที่ไม่ได้ทำเกษตรอินทรีย์และการใช้สารเคมีอย่างไร
เคยท้อใจกับการทำเกษตรอินทรีย์หรือไม่
ในกลุ่มมีวิธีการให้กำลังใจอย่างไร
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
เรื่องแปลงข้างเคียงเราไม่มีสิทธิไปห้ามปรามหรือไปว่ากล่าว
ผมมีวิธีอย่างหนึ่งคือ
หาโอกาสไปพูดคุยกับเขาให้เขารู้ว่าระบบการเกษตรการใช้ยามีภัยอันตรายอย่างไร
พยายามพูดให้เขารู้ให้เขาทราบทีละเล็กทีละน้อยให้ดูแปลงของเรา
เราไม่ใช้อะไรเลย ไม่ต้องอะไรทำอะไรเลยผมก็อยู่ได้
แล้วของคุณฉีดทุกวัน ๆ
บางครั้งแมลงก็ลงไปกินให้ดูแปลงของเราเป็นตัวอย่าง
คุณทรงพล
เจตนาวณิชย์ :
ลุงสนั่นไม่ใช้สารเคมีแปลงนาข้างๆ ฉีด แมลงข้างๆ
บินมาแปลงลุงสนั่นไหม
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
ผมไม่กลัวครับ ผมอยากให้แมลงมา
พอเราเรียนรู้แมลงในระบบธรรมชาติแมลงศัตรูพืชมีน้อยเพียงแต่ว่าเราไม่รู้จักเท่านั้น
เราเห็นแมลงเราก็เหมาว่าเป็นตัวร้ายทั้งหมด
แมลงมีมากแมลงมีประโยชน์กับเรา
ธรรมชาติพร้อมที่จะช่วยเหลือพวกเราทุกเวลา
เพียงแต่เราทำความรู้จักรายละเอียดให้มากขึ้นมันก็จะเป็นประโยชน์กับเรามาก
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ทีนี้แปลงข้าง ๆ
เวลาใช้ยาน้ำจะไหลมาแปลงนาเราได้มันมีผลไหมถ้าข้างเคียงไม่ได้ทำ
คุณลุงสนั่น
เวียงขำ :
ผมว่าไม่มีผล ผมว่าทำนาเรื่องน้ำเขาหวงมาก
เขาไม่ยอมให้เล็ดรอดออกมาต้องใช้เงินใช้น้ำมัน น้ำมันมันแพง
คุณทรงพล
เจตนาวณิชย์ :
ข้าวขวัญมีแรงจูงใจอย่างไร จึงอยากเผยแพร่ในเรื่องที่เราทำ
คุณณรงค์
อ่วมรัมย์ :
ถามข้าวขวัญหรือถามผมครับ ผมไม่สามารถตอบแทนข้าวขวัญได้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ตอบแทนคุณอำนวย
มีแรงบันดาลใจอะไรเพราะณรงค์เองไม่ใช่ลูกหลานคนในท้องถิ่น
จบการศึกษา มาจากลาดกระบัง
พอจบแล้วสมัครงานที่ข้าวขวัญแล้วไปคลุกคลีตีโมงกับชาวบ้านมา 10
กว่าปี
คุณณรงค์ อ่วมรัมย์
:
จริง ๆ แล้ว แนวคิดที่ผมได้ตอนที่ สคส.
ชีวิตงานการเรียนรู้ แล้วผมก็ผนวกเป็นหนึ่งอันเดียวกัน
มันเป็นแรงบันดาลใจสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้
มีคนเคยถามผมว่าการเป็นคุณอำนวยยากไหม ท้อไหม ผมตอบว่า ผมเหนื่อย
แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่ท้อเห็นชาวบ้านของผม ลุงสนั่น
อายุหกสิบสอง หกสิบสามปี ต้องเขียนหนังสือต้องวาดรูปแมลง
ต้องมานั่งคัดพันธุ์ข้าว ต้องมาผสมพันธุ์
เพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ ถามว่าคุณอำนวยอย่างผม เด็กๆ
ควรท้อหรือเพราะว่าผู้ใหญ่ที่เขาทำด้วยความตั้งใจ
นี่คือสิ่งที่ผมตอบตรงอาจารย์หรือเปล่า
แรงบันดาลใจผมเป็นคนอีสานมาทำงานภาคกลาง ทำอย่างไรให้เชื่อ ชอบ ช่วย
ให้ได้ในการเข้าสู่ชุมชนวันนั้นอายุประมาณ 25 ปี
เราเป็นเด็กเรารู้สึกว่าวัฒนธรรมความเด็กความเป็นผู้ใหญ่มันมีอยู่ในสังคมไทย
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ถามทางกลุ่มของลุงสนั่นท้อใจในการทำเกษตรอินทรีย์หรือไม่
กลุ่มให้กำลังใจซึ่งกันและกันอย่างไร
คุณณรงค์ อ่วมรัมย์
:
ถามว่าสิ่งที่เราให้กำลังใจนี่คือโปสเตอร์คนที่ 1
ใบแรกเขียนให้กำลังใจตนเองว่าคุณมาเรียน คุณรู้สึกท้อ
คุณรู้สึกเบื่ออะไรก็แล้วแต่ ใบแรกคุณให้กำลังตนเอง ใบที่ 2
คุณให้กำลังใจเพื่อนคนที่ 1 ใบที่ 3 คุณให้กำลังใจคนที่ 2
ที่คุณสนิทชิดเชื้อในกลุ่มในห้องเรียนใบที่ 4
ผมบอกกับเขาว่าไม่ต้องให้กำลังใจผมหรอกในฐานะคุณอำนวยจะดุจะด่าจะว่าอย่างไรก็ได้ในฐานะลูกหลานซึ่งนี่แหละคือกำลังใจและหลังจากที่ทำโปสเตอร์ที่ไม่พูดถึงในเรื่องการจัดการความรู้ที่เขาทำผมจะส่งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
มีอีกอย่างหนึ่งซึ่งหาไม่เจอคือสมุดบันทึก
ความทุกข์ ความสุข ความคาดหวัง เหมือน SWOT
เราเอามาแลกเปลี่ยนแบ่งปันกับเพื่อนๆ ทุกคน
มันเป็นสมุดที่เราได้รับในเรื่องกำลังใจ
พวกเราเขียนกำลังใจให้ตัวเองทุกคนเขียนกำลังให้เพื่อนไม่รู้เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้
การจัดการดวงใจของคนอื่นๆ อย่างไร
ผมไม่รู้แต่นี่คือกำลังใจของคนที่วัดดาว
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
นี่คือกุศโลบายในการทำกิจกรรมของการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ถามลุงสนั่นมีหนี้สินหรือเปล่าฐานะดีขึ้นไหม
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
มีหนี้สินกันทุกคนแต่จะมีมากหรือน้อยเท่านั้นเองผมเองไม่ได้เช่านาทำ
หนี้สินก็เลยน้อยหน่อยคือหนี้สิน ธกส.
ก่อนที่เราจะเข้าโรงเรียนเราต้องใช้ปุ๋ยประจำปุ๋ยก็ไปเอาที่ ธกส.
แต่ว่าเข้าโรงเรียนชาวนาเงินมันเหลือเยอะแต่ความที่เป็นพ่อที่ใจดีลูกผม
3 คน
เรียนจบหมดทุกคนเข้าใจว่าลูกเรียนจบเราสบายแล้วแต่ที่ไหนได้ลูกมันจะทำกิจการของมันเอง
แต่ไม่มีอะไร มาบอกพ่อจะทำโน่นจะทำนี่รถคันหนึ่ง
เพราะเรารู้นิสัยว่าลูกเราทำจริงไม่เคยมีนิสัยไม่ดี
เราก็เชื่อใจลูกขอให้ทำจริงเราก็จะให้ครั้งแรกจ่ายไปแล้ว 400,000บาท
พอซื้อรถมาก็ขาย ต้องเช่าห้างลูกเอาไปอีก 100,000 บาท
ไม่มีแล้วต้องกู้ต่อไปขายดีต้องระดมต้นทุนซื้อข้าวของ
ถามว่าต้องใช้เงินอีกเท่าไรบอกว่า 300,000 บาท ลูกมีความตั้งใจจริง ๆ
จึงกู้ให้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
โดยสรุปหนี้สินจากการทำนาครั้งนี้ไม่มี
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
แต่ว่าทำนามาได้ปี 47 ก็ได้ดีขึ้น มาปี 48 ปัจจุบันนี้พอไหว
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ชาวบ้านสุพรรณบุรีไม่รู้จักคุณเดชามาก่อน ทำไมถึงเชื่อคุณเดชา
ไม่กลัวว่าผลผลิตจะลดลงหรือ
ปีแรกทดลองทำกี่ไร่ไม่ใช้สารเคมีทั้งหมดเลยหรือว่าเป็นแปลงทดลองแล้วขยายผล
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
ก่อนที่จะเชื่อจะต้องทดสอบความสามารถของตัวเราเองว่าเราทำได้แค่ไหน
เราทำได้หรือไม่ได้เราต้องพยายามเรียนรู้ไปดูงานต่างถิ่นต่างที่ทั้ง ๆ
ที่สำนักงานเองเขาก็มีแปลงทดลองเราต้องไปเห็นของจริงและทดลองด้วยตัวของตนเองด้วยเริ่มแรกเราทดลองแค่เพียง
3 ไร่ก่อน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ทั้งหมดลุงหนั่นมีทั้งหมดกี่ไร่
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
มี 50 ไร่ ทดลองก่อน 3 ไร่ จนเข้าใจมันเป็นไปได้แล้วค่อยขยาย
ปีแรกมันไม่เห็นผลหรอก
พอปีที่สองเริ่มขยายแปลงนาของเราไปเรื่องแมลงเราไม่ต้องใช้อะไรเลย
เราใช้ระบบธรรมชาติจัดการได้ทั้งหมด
สารไล่แมลงไม่ต้องใช้ผมคิดว่าแมลงทุกตัวมันมีประโยชน์มากเราจะไปไล่เขาทำไมไม่ปล่อยให้เขาจัดการกันเอง
อยู่อย่างสบายเลยดูซิว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นผ่านไปได้ดี
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
การที่ชุมชนคุณกิจที่วัดดาวรู้จักการทำนาโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี
รู้จักเก็บจุลินทรีย์ในป่า
รู้จักการใช้สารสะเดา
เข้าใจว่าเกิดจากความรู้จากภายนอกจากนักวิชาการเป็นส่วนใหญ่
ถามว่าชุมชนที่เปลี่ยนชีวิตตัวเองโดยไม่พึ่งพาสารเคมีพึ่งตัวเองอยู่แล้วมีการริเริ่มใช้ความรู้ใหม่เกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร
ให้ณรงค์ ลุงสนั่น
ช่วยกันตอบคำถามแยกแยะให้ผู้ถามชัดเจนนิดหนึ่งเพราะภาพมันคลุมเครือว่าดูเหมือนว่าการที่นักวิชาการเข้าไปค่อนข้างเยอะ
เพิ่งจะเริ่มเพราะฉะนั้นการที่เรารู้จักเก็บจุลินทรีย์ในป่า
รู้จักใช้สารสะเดา
เป็นความรู้จากภายนอกส่วนใหญ่ทีนี้ความรู้จากภายในค้นพบเองหรือรื้อฟื้นเอามาใช้
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
มีครับ ในเรื่องจุลินทรีย์ก็ดีสมุนไพรก็ดีมันเป็นความรู้ที่ผ่านเข้ามา
วิธีการที่ผ่านเข้ามา
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ผ่านทางเครือข่ายชาวบ้านใช่ไหมครับ
คุณลุงสนั่น เวียงขำ
:
จากมูลนิธิแต่ขึ้นอยู่กับเกษตรกรชาวนาเองมีความตั้งใจจะเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน
เราต้องเรียนรู้ก็ทดลองหากเรียนรู้แล้วไม่ได้ทดลองกับมือเราเองมันไม่มีความมั่นใจหลอกครับรู้แล้วรู้เลยไม่ทดลองไม่ได้ทดลองว่าจริงหรือไม่
สิ่งทุกอย่างเมื่อมันเกิดจากความภูมิใจเมื่อทดลองสามารถที่จะทดลองเพิ่มเติมเพิ่มขีดความสามารถขึ้นไปใช้ความสามารถของเราเพิ่มเข้าไปอีก
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ในทางปฏิบัติแล้ว
เราต้องเอามาทดลองประยุกต์เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม
เข้าใจว่าสูตรจุลินทรีย์มีหลายสูตร
คุณณรงค์
อ่วมรัมย์ :
คืออย่างนี้นะครับก่อนที่นักวิชาการจากภายนอกจะเอาจุลินทรีย์ชุดนี้ไปวิเคราะห์ผลการศึกษา
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ณรงค์บอกว่าชาวบ้านเขาทำอยู่แล้ว อาจารย์วิจารณ์
เข้าไปก็อยากให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างความรู้ที่ชาวบ้านใช้กับความรู้จากวิชาการ
เชิญ ดร.ก้าน เข้าไปจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ดร.ก้าน ก็เอา
สิ่งเหล่านี้ไปวิเคราะห์
ซึ่งแต่ก่อนชาวบ้านไม่ทราบว่าจุลินทรีย์มีองค์ประกอบอะไรบ้าง
แต่รู้ว่าใช้แล้วเกิดประโยชน์
คุณณรงค์
อ่วมรัมย์ :
จุลินทรีย์ไปย่อยฟางไม่ต้องเผาย่อยสลายดีทุกอย่าง
สมุนไพรในท้องไร่ท้องนาเราสามารถมาใช้ประโยชน์ได้แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าประกอบด้วยตัวอะไร
จุลินทรีย์ตัวนี้จะไปทำหน้าที่อะไร
ความรู้แบบวิชาการแบบนี้ชาวบ้านยังไม่ทราบ
ใช้แล้วเกิดประโยชน์อย่างนี้ใช้แล้วได้ผล จากลุงสนั่น
ในห้องเรียนโรงเรียนชาวนามันมีทั้งสองภาคทฤษฎีและปฏิบัติ
ทางภาคทฤษฎีเขาสอนไปเอามาทดลองปฏิบัติกัน
ทางภาคปฏิบัติเราก็มีกิจกรรมเพื่อนเยี่ยมเพื่อนนั่งรถอีแต๋นไปดูทุกบ้านทุกแปลงนาในกลุ่มสมาชิกของเรา
เราไปเรียนรู้จากการไปดูนาสิ่งที่เขาทำจุลินทรีย์ ฮอร์โมน
น้ำหมักไปแลกเปลี่ยนกันอันไหนดีอันไหนไม่ดีเล่าสู่กันฟัง
ตรงนี้เป็นการให้กำลังใจกัน
แล้วเจ้าของบ้านมาเรียนรู้ไปพูดคุยอย่างนั้นตามเพื่อนติดเพื่อนแต่ไม่ไปทำ
เราใช้วิธีการเพื่อนเยี่ยมเพื่อนสัปดาห์นี้ไปไม่ทำไม่ว่า
สัปดาห์หน้าไปเสริมไปพูดคุยไปพูดให้กำลังใจมีปัญหากันอย่างไร
คนอื่นเขาทำได้มีทรัพยากรให้ครั้งต่อไปด้วยสำนึกของคนเขาจะทำครั้งต่อไป
เพื่อนจะมาอีกอย่างน้อยต้องรับหน้า
ปัจจุบันต้องบอกว่าสิ่งที่ผมมากับลุงสนั่นผมมาสื่อแทนชุมชนของสุพรรณบุรีคือจะไปดูบ้านไหนจะเจอเรื่องแบบนี้คือพันธุ์ข้าวกล้องดูจุลินทรีย์นี่เป็นสื่อที่เรามาแทน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
น่าเสียดายที่จริงในสไลด์ที่ณรงค์เตรียมมาสื่อในภาพจะไม่มีเฉพาะเรื่องเทคนิค
อย่างภาพเราจะเห็นพระแม่โพสพ การทำพิธีแรกนาต่างๆ
ซึ่งทางพื้นที่ตรงนี้ได้รื้อฟื้นวัฒนธรรมประเพณีขึ้นมาเป็นเรื่องเขาทำกันเอง
งานเดือนสิบงานที่ชาวบ้านรื้อฟื้นสูตรอาหารเด่น ๆ ของคนในพื้น
ที่จัดงานที่วัดมีกิจกรรมสนุกสนานการละเล่นพื้นบ้าน
มีการเอานักเรียนเข้ามาเรียนรู้เข้ามาทำกิจกรรมเสียดายเวลาเราไม่มี
การเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องเกษตร เรื่องวิถีชีวิต
เรื่องวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งวัดดาวไปถึงจุดนั้นแล้ว
เขาไม่ได้มองเรื่องเกษตรเป็นเรื่องเกษตร
แต่เกษตรเป็นวิถีชีวิตเชื่อมโยงกับหลายๆ ด้าน
คำถามสุดท้ายแต่เดิมมีมูลนิธิข้าวขวัญเข้าไปแนะนำทำนาแบบธรรมชาติอยู่แล้ว
หลังจาก สคส.
เข้าไปอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมบ้างดูเหมือนว่าเราทำดีอยู่แล้ว
สคส.เข้าไปเติมเต็มหรือต่อยอดอะไรทำอะไรที่เป็นรูปธรรมบ้าง
ณรงค์พอตอบได้ไหม
คุณณรงค์
อ่วมรัมย์ :
พูดแล้วไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าวขวัญทำโดยประสบการณ์ที่ลองผิดลองถูกกับชาวบ้านผมมา
10 ปี ก่อนหน้านี้ 15 ปี
เราไม่สามารถที่จะถอดบทเรียนถอดประสบการณ์ของชาวบ้านเราไปสร้างเทคนิคผมยอมรับว่าเราสร้างเกษตรกรดีเด่นปี
38 ในสาขาการทำนาได้ เราคิดว่าคนรอบข้างจะเอาไปเป็นเยี่ยงอย่าง
แต่ปรากฏว่าเราไปได้แต่เทคนิคการทำปุ๋ยหมักแต่เราไม่ได้กระบวนการกลุ่มซึ่งสามารถดึงพลังใจของแต่ละคนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
พลังกลุ่มยังไม่มีพลังในการเรียนรู้ร่วมกัน
ไม่มีสิ่งที่ข้าวขวัญทำก่อนกลับลำทำเชิงเทคนิคเป็นหลัก
ในหน่วยของการจัดการความรู้ครั้งแรกมูลนิธิข้าวขวัญมีความสับสนบ้างว่า
โมเดลต่างๆ มันคืออะไรโชคดีที่ว่าผมรู้จาก สรส. 9
เดือนก่อนหน้านั้น ผมสามารถเอาโมเดลต่างๆ
มาประยุกต์ใช้ระหว่างประสบการณ์ตรงประสบการณ์จริงของผมที่ได้รับจากข้าวขวัญออกเป็นทฤษฎีและการปฏิบัติ
แล้วเอาไปใช้กับชุมชน
ชุมชนที่มีโอกาสทดลองความรู้ของผมคือชุมชนวัดดาว
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
คล้ายๆ ตัว สคส. เข้าไปทำให้ระบบความรู้ของตัวชาวบ้านชัดขึ้น
เมื่อทางข้าวขวัญมีทุนเดิมอยู่มากโดยเฉพาะเรื่องพันธุ์ข้าวไปหนุนต่อให้จัดการความรู้ให้เข้มแข็งขึ้น
ขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายไปยังจังหวัดพิจิตร
จังหวัดนครสวรรค์ในเรื่องของพันธุ์ข้าว ส่วนเรื่องชีวภาพทาง สคส.
พยายามที่จะเอาภูมิปัญญาสมัยใหม่เข้าไปเชื่อมเข้ามาอธิบายยกระดับโดยเฉพาะเรื่องของการหมักชีวภาพ
ถ้าเรามีความรู้ทางวิทยาศาสตร์จำนวนเวลาที่ใช้หมักอาจจะสั้นลง
ตอนนี้ระบบการทำปุ๋ยหมักมีมหาวิทยาลัยที่เขาทำระยะเวลาในการบ่มลดลงมาก
เพราะฉะนั้นทาง สคส.
เชื่อมนักวิชาการทั้งหลายเข้ามาเรียนรู้กับชาวบ้านโดยเอาชาวบ้านเป็นตัวตั้ง
ผมคิดว่าตรงนี้ สคส. เข้าไปเติมเต็มชาวบ้านที่มีอยู่แล้ว
คุณลุงสุรินทร์
กิจนิตย์ชีว์ :
ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญพยายามจับหัวใจสำคัญของโรงเรียนชาวนาที่ว่าทำตามที่เอาการจัดการความรู้จริงหรือเปล่าไม่รู้
ที่ว่าการกลับลำมีการกลับลำในสองระดับ
ณรงค์บอกว่ามีการกลับลำในเชิงเทคนิคที่ทำมาตลอด
แต่ฐานคิดยังไม่เปลี่ยน ฐานคิดระบบทุนแปลว่ายังไม่กลับใจ
เมื่อหาเทคนิคแทนปุ๋ยชีวภาพไม่ได้ก็กลับไปหาปุ๋ยเคมีอย่างเก่าแต่ยังไม่ยั่งยืน
แต่ถ้ามาตอนหลังที่ทำให้เกิดการเรียนรู้เข้าระบบ สคส.
เข้าไปบอกมันเป็นการให้การเรียนรู้สมบูรณ์ขึ้นครบถ้วนขึ้นไม่ได้ปฏิเสธเรื่องกลับลำทางเทคนิคต้องมี
แต่ยังไม่สมบูรณ์พลังยังไม่พอ พลังอยู่ที่กลับใจเกิดการเรียนรู้
ที่คุณสนั่นพูดชัดเจนมากเกิดการกลับใจ
ทางเดินถูกแล้วอาการเกิดตั้งใจเรียน พอตั้งใจเกิดการเรียนรู้
พอเรียนรู้แล้วจัดการเป็น จัดการเชิงระบบจัดการเป็นในเรื่องอะไรบ้าง
จัดการในเรื่องแมลง จัดการในเรื่องบำรุงดิน
จัดการในเรื่องพันธุ์ข้าว ประถม มัธยม อุดมศึกษา
จากตรงนี้ต้องใช้ความรู้ แมลงอะไรเป็นศัตรู แมลงอะไรไม่เป็น
ต้องใช้ความรู้ตรงนี้เรียกว่าการจัดการความรู้
เรื่องธรรมชาติหรือเชิงวิทยาศาสตร์
ซึ่งแต่ก่อนนี้ถามว่ามูลนิธิข้าวขวัญทำอยู่แล้วแต่พลังไม่พอ สคส.
เข้าไปเสริมเรื่องการจัดการความรู้ในเชิงมิติทางวัฒนธรรม
นั่นแปลว่าคิดเรื่องชุมชนเป็นตัวตั้งพ้นจากเรื่องเศรษฐกิจทุนแล้วเอาสุขภาพเอาความสุขของชุมชน
มีเพื่อนมาให้กำลังใจกันแล้วใช้มิติทางวัฒนธรรม แม่โพสพ แม่พระ
คงคา แม่พระธรณี ตรงนี้เอาทั้งหมดเรียกว่าการจัดการความรู้
การจัดการความรู้เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดปัญญา
มองเห็นเชิงระบบว่าชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ถ้าระบบนิเวศน์ดีชีวิตดี
ระบบนิเวศน์เสียเราก็อยู่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน
การจัดการความรู้ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนสำนึก
พอสำนึกเปลี่ยนพฤติกรรมเปลี่ยนและเปลี่ยนอย่างยั่งยืนนี่คือการจับประเด็น
คุณทรงพล
เจตนาวณิชย์ :
อีกสักครู่เราจะมาสรุปกันต่อ ขอบคุณลุงสนั่น และณรงค์
ขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง