วิถีแห่งพุทธะ


วิถีแห่งพุทธะมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน

สายวันหนึ่งข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาตกใจในความไร้แก่นของชีวิตตัวเอง นอนมองฝ้าเพดานด้วยความเบื่อหน่าย แม้แต่จะลุกจากที่นอนก็ไร้เรี่ยวแรง มันไม่มีแรงจูงใจเอาเสียเลย

ทำไมเราจะต้องหอบสังขารเข้าที่ทำงาน ตั้งแต่เช้าไปจนกระทั่งเย็นย่ำ กว่าจะกลับถึงบ้านก็แทบจะคลานกลับ บางครั้งออกนอกเส้นทาง ไปตั้งวงอยู่ที่ไหนสักแห่ง แล้วก็อ้างไม่ว่าเป็นการพบปะสังสรรค์

แต่ไหนแต่ไรมา เราต่างก็มีไฟฝันกันมากมายที่จะทำ แล้วอะไรกันที่มันมากัดกร่อนไฟฝันเราให้ดับมอด ไม่ใช่หน้าที่การงาน ไม่ใช่พันธะในชีวิต ไม่ใช่การดิ้นรน ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น

ก็ตัวเราเองทั้งนั้นแหละที่ทำ ไม่ต้องไปโทษโน่นโทษนี่เลย ตัวเองทำผิด แต่โยนความผิดไปให้อะไรต่อมิอะไรวุ่นวายไปหมด นี่เรียกว่าติดกับดักตัวเอง ติดกับดักความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

มันป่วยการที่จะมาโทษตัวเอง หรืออะไรก็ตามที่มันดูวุ่นวาย ถึงอย่างไรเสีย ชีวิตมันก็ยังคงดำเนินต่อไป อยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้นแหละว่า จะแก้ไข หรือจะจมปลักอยู่กับมันต่อไป

ในแปดหมื่นสี่พันเส้นทางนั้น ล้วนมีจุดหมายเดียวกันไม่อาจเปลี่ยนแปลง และไม่เคนมีใครเปลี่ยนมันได้ แม้โคตมะพุทธะของเรา ท่านเป็นแต่เพียงผู้ที่ผ่านมา และทรงมีเมตตาชี้ทางให้เราเดินไปตามทางที่ท่านประจักษ์แล้วว่า มันคือเส้นทางอันแท้จริงที่สุดไม่เป็นอื่นไปได้

สรรพสัตว์ในโลกที่ว่ายวนรอบสังสารวัฏ ผู้มีดวงตาอันสว่างไสว ย่อมมองไปถึงหนทาง-ทางนั้นอย่างไม่พลาดไปจากทางนั้นแม้เพียงนิ้วดียว และเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้มีดวงตาสว่างไสวนั้นได้ ธาตุแห่งพุทธะภายในตัวเรายังคงอยู่ไม่เคยหายไปไหน แล้วเราจะค้นหาอะไรจากภายนอกอย่างนั้นฤา

วิถีแห่งพุทธะมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน หากแต่เรากลับเดินข้ามหัวมันไปมา ไม่เหลือบแลมันแม้หางตา กลับยิ้มเยาะมันว่าไร้สาระเสียด้วยซ้ำไป ว่ามันทำให้เรามีอยู่มีกินไม่ได้

ช่างน่าขำ เมื่อเวลาความทุกข์วิ่งชน จนเซล้มหัวคะมำ ก็ยังไม่รู้เลยว่ามันแหละพุทธะวิถีแท้ๆ

คนเรามักปัดป้องตัวเองจากความทุกข์ แทนที่จะสนุกสนานกับมัน ต่างจากบรรดาเซนสาวกทั้งหลาย ที่นั่งหัวเราะเยาะความไร้สาระพวกนั้น จนท้องแข็งท้องเป็นตะคริวไปตามๆกัน

เคยมีอาจารย์เซนท่านหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าไปทำให้เด็กหญิงในหมุ่บ้านคนหนึ่งท้องป่องเข้า

เรื่องก็คือว่า ในหมู่บ้านแห่งนั้นมีเด็กสาวสวยคนหนึ่ง เป็นลูกสาวของเจ้าของร้านข้างของชำซึ่งร้านตั้งอยู่ใกล้ๆกับวัดที่อาจารย์ท่านนั้นอยู่ แล้วเกิดท้องขึ้นมาโดยไม่มีใครรู้ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องนั้น

พ่อแม่ของเด็กสาวร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง อยากรู้ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้อง ต่างก็คาดคั้นเอากับเด็กสาวคนนั้น อย่างไม่ลดละ แต่เด็กสาวเองก็ไม่ยอมปริปากออกมาสักคำ เมื่อนานเข้า บ่อยเข้า จนเด็กสาวก็ทนรำคาญไม่ไหว หลุดปากออกมาว่า "ฮะกูอิน"

พ่อแม่ของสาวเด็กเดือดดานขึ้นมาทันที เมื่อได้รู้ว่าเป็นท่านฮะกูอิน อาจารย์เซนข้างบ้านนี่เอง พ่อแม่ของเด็กสาวบุกไปที่วัดทันทีที่รู้เรื่องนี้ เข้าไปต่อว่าต่อขานท่านฮะกูอินต่างๆนานา จนกระทั่งพอใจ เมื่อเด็กคลอดออกมา พ่อแม่ของเด็กสาวจึงเอาเด็กที่เกิดไปให้ท่านฮะกูอินเลี้ยง ท่านฮะกูอินกล่าวเพียงสั้นๆว่า

"อย่างนั้นรึ"

หนึ่งปีผ่านไปหลังจากที่เด็กคลอดออกมา ท่านฮะกุอินเลี้ยงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู โดยความอนุเคราะห์จากชาวบ้านรอบๆวัดนั้นเองด้วย

ทางด้านเด็กสาวแม่ของเด็กกลับรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดเด็กสาวก็ไดไปสารภาพกับพ่อแม่ของตนว่า แท้จริงแล้วพ่อของเด็กก็คือ เด็กหนุ่มขายหมูในตลาดเองที่เป็นพ่อเด็กที่แท้จริง

เพียงได้ยินเท่านั้น พ่อแม่ของเด็กก็รีบไปที่วัดพบท่านฮะกูอินทันที ขอโทษท่านฮะกูอินต่างๆนานา ขอให้ยกโทษให้ พร้อมกับขอรับเด็กกลับคืนไป และหลังจากที่ท่านฮะกูอินส่งเด็กน้อยคืนไปแล้วก็กล่าวเพียงว่า

"อย่างนั้นรึ"

                          ..........................................................

 

หมายเลขบันทึก: 123692เขียนเมื่อ 31 สิงหาคม 2007 11:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • ใช่แล้ว อย่างนั้นนั่นแหละ ท่านพี่ ขำขำ
  • ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย
  • น้อยกว่านั้นก็ไม่มี
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท