อยากหลอกตัวเองเลย วันนี้คนไทยนั่นแหละ ความรู้ไม่พอใช้ เพราะเอาแต่เล่นตลกกับความรู้ ไม่สร้างมาตรฐานความรู้ที่เป็นแก่นสารของตนเองขึ้นมา จ้องแต่จะไปลอกกากเดนความรู้ของชนชาติอื่น มีการประชุมสัมมนากับนานาชาติก็พูดอ้อแอ้อยู่ในลำคอ เพราะไม่มีความรู้เป็นของตนเอง
-น้าอึ่งให้เสื้อ -2คนสวยแสดงแบบ -ผมเอามาตีปิ๊บ!!
เมื่อวานนี้ได้รับโทรศัพท์จากพระอาจารย์Handy ให้ช่วยขยายผลมุมที่มองเรื่องสารประโยชน์จากBlogเพิ่มอีกหน่อย ได้การบ้านแล้วผมก็มานั่งถามตัวเองว่าผมรู้จักBlog มากน้อยแค่ไหน ก็บอกตัวเองว่าแค่ หางอึ่ง หางอึ่งมันไม่งอกออกไปได้อีกแล้ว แต่หางBlogงอกออกไปไม่มีที่สิ้นสุด ผมแอบไปอ่านท่านผู้สันทัดกรณีเขียนอธิบายเรื่องนี้ไว้ก็เป็นหลักเป็นฐานดี แต่ติ่งหางที่มันงอกออกมาเรื่อยๆ ก็จำเป็นที่จะนำมาสอดแทรกเพิ่มเติมใช่ไหมครับ
เราเพิ่งคุยกันที่เชียงใหม่ว่า บริบทของBlogมีศักยภาพอย่างไรบ้าง ผมไม่รู้จะจาระไนยังไงได้ครบถ้วน Blogเป็นเพื่อนรัก เป็นครู เป็นตำรา เป็นพยาบาล ผลิตความรักความปรารถนาดี ผลิตน้ำใจ น้ำตา มิตรภาพและไมตรี เป็นแก้วสารพัดนึก ผมเห็นว่าเป็นตะเกียงอาละดิน อยากรู้อยากได้อะไรก็เอามือถูที่ข้างตะเกียง ยักษ์ผู้วิเศษก็ออกมาถามว่า..เจ้านายจะให้ผมรับใช้อะไร? มันเป็นเช่นนี้จริงๆเลยนะครับ เพราะตั้งแต่ผมขอเจ้ายักษ์วิเศษตนนี้ไม่เคยผิดหวังสักครั้งเดียว หลายครั้งได้เกินว่าที่ขอด้วยซ้ำไป Blogยังเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ผมได้ไปรู้จักใครต่อใคร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนดีคนน่ารักทั้งนั้น (คนไม่น่ารักก็ไม่แนะนำด้วยสิครับ) Blog เป็นเหมือนหน้าม้า พาผมไปรู้จักวิทยาการใหม่ๆ นวัตกรรมอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ในวงจรนี้มีมาให้เลือกให้คัดสรรได้จนจุใจ
ในฐานะเกษตรกรที่เศรษฐกิจยังไม่พอเพียง ผมเปรียบBlogเหมือนการผสมเทียม เราไม่ต้องเลี้ยงพ่อพันธุ์ให้เสียเวลา อยากได้โคได้หมูได้ไก่สายพันธุ์อะไรเราก็ไปเอาน้ำเชื้อมาผสมเทียมเข้าไป เราก็จะได้สัตว์ที่มีคุณภาพดีขึ้นด้วยวิธีการที่สะดวกประหยัดและง่ายกว่าวิธีดั่งเดิม ถ้าเป็นด้านพืช ผมเพียงแต่ปลูกต้นตอต้นกระสังไว้ แล้วเอายอดพืชตระกูลส้มมาเสียบยอดเข้าไป เราก็จะได้กินส้มเช้ง ส้มเขียวหวาน ส้มโอ มะกรูด มะนาว ถ้าไม่ทำอย่างนี้ คนที่อยู่ในพื้นที่แห้งแล้งอย่างผมจะปลูกพืชตระกูลส้มได้ยากมาก แสดงว่าBlogช่วยให้เกิดโอกาส หรือเสริมความเป็นไปได้ ทำเรื่องธรรมดาให้เป็นเรื่องพิเศษได้
ในโลกปัจจุบันวัดกันที่ความรู้ เรากำลังอยู่ในยุคปรับความรู้เก่าเข้าหาความรู้ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ครูบาอาจารย์ ถ้าชะล่าใจอยู่กับความรู้ความคิดแบบเดิมๆ อีกหน่อยจะตกขบวนรถเที่ยวสุดท้าย แม้แต่ไฟท้ายก็จะมองไม่เห็น โดยเฉพาะคนที่ดูแคลนBlog อยากจะถามว่าท่านจะเอาอะไรเป็นเครื่องมือไปตามล่าหาความรู้ ที่ดีสะดวกหลากหลายอิสระได้เท่ากับวิธีการของBlog ลองยกตัวอย่างมาให้ฟังหน่อยสิ
การผ่องถ่ายความรู้ กำลังเป็นปัญหาที่คนไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ ถ้ามีเวลาลองถามตัวเองหน่อยเถอะว่าวันนี้เราอยู่กับความรู้อะไร เราฉลาดขึ้นหรือโง่มากขึ้น ในระดับชาวไร่ชาวนาเห็นชัดที่สุด พากันขายควายที่เคยใช้ไถนาทิ้งไปทั้งประเทศ นัดกันเปลี่ยนควายไปเป็นลูกชิ้น ไปซื้อควายเหล็กจากญี่ปุ่นมาไถนา ไปเอาน้ำมันจากตะวันออกกลางมาเติมรถไถ ไปเอาปุ๋ยเคมีมาจากยุโรป ไปเอาพันธุ์พืชมาจากอเมริกา ทำนาอย่างเคยนี่แหละเที่ยวไปดึงเอาทุนและเทคโนโลยีข้ามชาติมาทำ
เคียวเคยใช้เกี่ยวข้าวโยนทิ้ง ใช้รถเกี่ยวข้าวมาทำหน้าที่แทน ประเพณีลงแขก เพลงอีแซวก็อ้าปากค้าง เพราะรถเกี่ยวข้าวมันไม่สนใจฟัง มันเปลี่ยนตัวเปลี่ยนฝาไปหมด เมื่อเป็นเช่นนี้คนไทยจะตั้งรับกับกระแสความรู้และเทคโนโลยีที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างไร อย่าตอบทื่อๆนะว่าเราก็กำลังพยายามปรับหลักสูตรและเนื้อหาอยู่นี่ไง ปรับอะไรละครับ ทำไมเกษตรกรถึงทิ้งถิ่น บ้านแตกสาแหรกขาดมาแออัดกันอยู่ในกรุงเทพ ควายเข้าโรงงานลูกชิ้น เจ้าของควายจะตามมาเข้าโรงงานอะไร
อย่าหลอกตัวเองเลย วันนี้คนไทยนั่นแหละ ความรู้ไม่พอใช้ ผมวัดจากตัวเองนี่แหล่ะ ยิ่งแก่ยิ่งโง่ โง่บรรลัยวายวอดเลยละครับ เพราะเอาแต่เล่นตลกกับความรู้ ไม่สร้างมาตรฐานความรู้ที่เป็นแก่นสารของตนเองขึ้นมา จ้องแต่จะไปลอกกากเดนความรู้ของชนชาติอื่น มีการประชุมสัมมนากับนานาชาติก็พูดอ้อแอ้อยู่ในลำคอ เพราะไม่มีความรู้เป็นของตนเอง ถามว่าเราทำอะไรกับเรื่องนี้บ้าง แผนแม่บทการศึกษาของชาติเป็นอย่างไร ระบบการศึกษาเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่จะได้คำตอบแบบกำปั้นทุบดิน “เรากำลังพัฒนา” พัฒนาคนให้เป็นควายอย่างนั้นรึ!!
ในสภาวะที่กำลังตีบตันด้านสติปัญญา การที่จะทำให้คนในชาติปรับเปลี่ยนจากผู้รับรู้ไปเป็นผู้เรียนรู้ไม่ง่ายนักหรอก ทำกันมาตั้งแต่ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุมแล้ว ก็ไม่เห็นจะเกิดหมากผลอะไร กลับเซ่อถาวรกันหนักเข้าไปอีก ในสภาพที่วงการศึกษากำลังจนมุม ผมว่าเรามานั่งพิจารณาเรื่องBlogกันเถิด ช่วยเอากระบวนการนี้แหละสร้างรากฐานความรู้คู่ขนานของเราขึ้นมา ให้เกิด2ลู่ทางเปรียบเสมือนรางรถไฟ รางหนึ่งเป็นความรู้ของเขา อีกรางหนึ่งเป็นความรู้ของเรา ยกมาวางคู่กัน แล้วให้กระแสความรู้วิ่งไปบนราง ความรู้เขาความรู้เราจะพัฒนาควบคู่กันไป แบบรู้เขารู้เรา และรู้ตัวเองว่า เราก็มีกึ๋นพอที่จะสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง เข้าใจไหมจ๊ะต๋อย..
จดหมายน้อย ถึงพระอาจารย์ Handy ผมทำการบ้านให้แล้วนะครับ ผลเป็นประการใดแล้วแต่ท่านพระอาจารย์จะเห็นควร ธุครับ.