สัปดาห์เกือบสุดท้ายของหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์การบินนี้
ก้อได้นำเราไปดูงานไกลมาก คือ สัตหีบ โน่นแน่ะ
ซึ่งเราได้ไปดูงานสองที่ คือ กองบินทหารเรือ และเรือหลวงจักรีนฤเบศร
โดยที่แรกที่ไปดูคือ กองบินทหารเรือ (Wing Navy)
ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นสนามบินที่มีรันเวย์ที่กว้างมาก
คือกว้างพอที่จะให้เครื่องบิน B-52 ซึ่งเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีปีกกว้างมาก 8 ใบพัดสามารถลงได้อ่ะ
เนื่องจากสมัยสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาได้ยืมสนามบินนี้เป็นฐานไว้โจมตี
เลยพัฒนาให้สนามบินนี้ยิ่งใหญ่
ซึ่งกองบินทหารเรือนั้น ก้อมีหน้าที่ภารกิจหลัก ๆ คือ ดูแลน่านฟ้าเหนือบริเวณอ่าวไทย
ป้องกันมิให้ข้าศึกใดมารุกราน โดยทำงานร่วมกับเรือรบในทะเลน่านแหละจ้า
โดยฝูงของกองบินทหารเรือ มีหลัก ๆ คือ เครื่องบินรบ และเฮลิคอปเตอร์
ซึ่งเครื่องบินรบของเรานั้น มีหลัก ๆ คือ เครื่องบินรบแบบ A-7
และเครื่องบินรบแบบ AV-8 หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า Harrier นั่นเอง
บางคนอาจเคยได้เห็นเจ้าเครื่อง Harrier นี้มาบ้างในภาพยนตร์ของ Hollywood
โดยเครื่อง Harrier นี้มีข้อดีคือ เป็นเครื่องบินที่สามารถขึ้น-ลงแนวดิ่งได้
คือ ไม่ต้องใช้ Runway ในการแล่น แต่สามารถบินขึ้นลงได้แบบเฮลิคอปเตอร์นั่นเอง
โดยอาศัยท่อลมที่สามารถปรับองศาได้ เป็นตัวพ่นลมดันให้เครื่องบินยกตัวลอยขึ้นจากพื้น
เจ๋งมะ ไม่น่าเชื่อว่าประเทศเราจะมีเครื่องทันสมัย ๆ แบบนี้อยู่อีกนะ
ซึ่งเจ้าเครื่องบิน Harrier นี้ประเทศเราได้รับแถมมาจากการซื้อเรือจักรีนฤเบศร จำนวน 1 ฝูงบิน
นอกจากนั้น กองบินทหารเรือ ยังมีเฮลิคอปเตอร์ที่ทันสมัยมากอีกชนิดหนึ่ง
นั่นก้อคือ Helicopter Sea Hawk ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำนั่นเอง
โดยมีสมรรถนะสูงมาก และเป็นกำลังหลักของกองบินทหารเรือในปัจจุบัน
สามารถใช้ร่วมกับเรือจักรีนฤเบศร์ได้เช่นกัน
อ้อ...มีความรู้แถม ใครที่คิดว่าทำไมประเทศไทยไม่ซื้อเรือดำน้ำซักที
ขอตอบว่า อ่าวไทยเป็นอ่าวที่ไม่ลึกมากนัก เพราะฉะนั้นไม่มีความจำเป็นต้องใช้เรือดำน้ำ
เนื่องจากเรดาร์และนักประดาน้ำสามารถดำลงไปได้
อีกทั้งเราซื้อเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแล้ว เพราะงั้น Don't worry ได้เลย
หลังจากดูงานกองบินทหารเรือเสร็จแล้ว
เราก้อได้ไปดูงานที่เรือรบหลวงจักรีนฤเบศรต่อ
ซึ่งเป็นเรือที่ชาวไทยเราภาคภูมิใจมาก
ทั้งนี้เนื่องจากเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชียวนะ
โดยเรือจักรีนฤเบศร ต่อที่อู่ต่อเรือประเทศสเปน
และมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เสด็จพระราชดำเนินไปปล่อยเรือลงน้ำที่นั่น
โดยคำว่า "จักรีนฤเบศร" นั้น มีความหมายว่า "ผู้เป็นใหญ่ในราชวงศ์จักรี"
โดยมีภารกิจหลัก ๆ สองอย่างด้วยกัน
คือ ภารกิจด้านยุทธการป้องกันประเทศ และภารกิจด้านช่วยเหลือผู้ประสบภัย
โดยเรือลำนี้ ตอนแรกสร้างเพื่อเป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์
แต่วิศวกรได้ดัดแปลงให้หน้าเรือเชิดหัวขึ้น 12 องศา
เพื่อให้เครื่องบิน Harrier สามารถวิ่งขึ้นได้ด้วย
แต่เวลาลงต้องลงตามแนวดิ่งเท่านั้น
โดยเรือลำนี้มีที่ให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอดห้าแห่งแน่ะ
นอกจากนี้ยังมีที่เก็บเครื่องบินอยู่ใต้รันเวย์อีก
ซึ่งการดูงานครั้งนี้มีผู้ฝูงของเครื่องบินประจำเรือนี้นำชม
ตามห้องต่าง ๆ ภายในเรือด้วย
อาทิ เช่น ห้องเรดาร์ , ห้องผู้บังคับการเรือ , หอควบคุมจราจรทางอากาศ
มีความรู้แปลกมาให้ฟัง เกี่ยวกะเรือลำนี้ เช่น
ในเรือนั้น เขาจะแบ่งบันไดขึ้นลงด้วย เช่น
บันไดนี้สำหรับนายทหาร บันไดนี้สำหรับลูกเรือคนอื่น
ทั้งนี้ไม่ได้บ้ายศศักดิ์อะไรหรอก แต่เวลาที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน จะได้ไม่สับสนอลหม่าน
โดยการขึ้นลงบันไดที่รวดเร็ว ทหารเรือบอกกระผมว่า ต้องขึ้น 3 ลง 2
แปลว่า ก้าวขึ้นทีละสามขั้น และก้าวลงทีละสองขั้น โดยหันหน้าลงบันไดนะ
นอกจากนี้ในเรือยังมีลิฟต์ด้วยนา ไฮโซมะ
ส่วนเรื่องที่เวอร์ ๆ อีกเรื่องคือ เรือของทหารเรือทุกลำจะมีเลขประจำตัวสามหลัก
โดยเลขเหล่านี้ไม่ซ้ำกันเลย
ซึ่งเรือรบหลวงจักรีนฤเบศรนั้นได้เลขประจำตัวว่า 911 พอดี
ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นเลขล็อก ตามสูตรพี่ไทย
แต่ปล่าว เลขนี้มีที่มาที่ไป ไม่ได้ล็อก บ้านเรียกฟลุค
นั่นคือ เลขตัวแรก คือเลขที่แสดงถึงประเภทของเรือ
ซึ่งในประเทศไทย มีมาแล้ว 8 ประเภทด้วยกัน
แต่เรือจักรีนฤเบศรนั้น เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรก จึงเป็นประเภทใหม่ ประเภทที่ 9
ส่วนเลขตัวที่สอง เป็นเลขของแบบของเรือที่มีในประเภทนั้น ๆ
เช่นสมมติว่า เรือเสบียง มีทั้งสิ้นสามแบบ เลขตัวที่สองก้อคือ 3
แต่เรือบรรทุกเครื่องบินในประเทศไทย ตอนนี้มีแบบเดียว เลยเป็นเลข 1
และเลขตัวสุดท้าย คือ ลำที่เท่าใดในฝูงเรือนั้น
โดยเรือจักรีนฤเบศร ก้อเป็นลำแรกในฝูงเรือบรรทุกเครื่องบิน จึงได้เลข 1
รวมเลขสามตัว จึงได้เลขประจำตัวเรือเป็น 911 ไง
เห็นมั้ย ว่าไม่ได้ล็อค
ซึ่งเรือจักรีนฤเบศรเวลาเดินทางไปไหนมาไหน จะทำหน้าที่เรือธง คือเหมือนแม่ทัพของกองเรือเสมอ
โดยมีเรือป้องกันสองลำ ชื่อ เรือรบหลวงพุทธยอดฟ้า และ เรือรบหลวงพุทธเลิศหล้า
ซึ่งเป็นเรือรบลำใหม่ของไทย เพิ่งต่อเสร็จ มีความทันสมัยมาก
และมีเรือเสบียง ชื่อ เรือสิมิลัน คอยส่งข้าวปลาอาหารให้เรือธง
เห็นแล้วมั่นใจในศักยภาพของกองทัพเรือไทยขึ้นเยอะเลยเนอะ หึหึ
หลังจากชมเรือเสร็จ ก้อได้ไปซื้อของที่ระลึกกัน
แล้วจากนั้นเราก้อเดินทางกลับโดยรถบัส
ซึ่งใช้เวลาเดินทางนานมาก ไปกลับเที่ยวละ 3 ชม.เป็นอย่างต่ำ
เฮ้อ....นอนจนเหนื่อยเลย