ชุมชนนักปฏิบัติ :
แนวคิดและกรอบการวิเคราะห์
รศ.ดร.อนุชาติ
พวงสำลี
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ชุมชนนักปฏิบัติ หรือ Community of Practices –CoPs
นับเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge
Management) ที่ทรงพลัง เนื่องจากว่า
การเกิดขึ้นของชุมชนนักปฏิบัตินั้น
สะท้อนให้เห็นถึงระบบความสัมพันธ์ทางสังคมในแนวราบที่เชื่อว่าจะสามารถเอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
พัฒนาและจัดการยกระดับองค์ความรู้ขององค์กร สถาบัน
หรือสังคมได้อย่างดี
แตกต่างจากความสัมพันธ์ในแนวดิ่งที่นิยมใช้การสั่งการและการบังคับบัญชาอันจะเป็นอุปสรรคต่อการคิดวิเคราะห์และสั่งสมองค์ความรู้ของผู้ปฏิบัติและองค์กร
จากประสบการณ์การทำงานด้านประชาสังคม (Civil Society)
และการพัฒนาที่ผ่านมา อาจพอกล่าวได้ว่า
ภายใต้ระบบสังคมอุปถัมภ์ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจในแนวดิ่งอย่างเหนียวแน่นเช่นสังคมไทยนั้น
การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของชุมชนนักปฏิบัตินั้น มิใช่เป็นเรื่องง่าย
เพราะเราคุ้นชินกับระบบสั่งการและการตัดสินใจให้แทนมาเป็นเวลายาวนาน
อย่างไรก็ตาม
การค้นหาทำความเข้าใจถึงบริบทและแนวทางการวิเคราะห์เพื่อเป็นหนทางในการสร้างชุมชนนักปฏิบัติในกระบวนการจัดการความรู้ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในขณะนี้นั้น
ก็มีควาสำคัญและท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะในสังคมสมัยใหม่
ที่มีความสลับซับซ้อน มีความเป็นพลวัตรสูง
เราต้องอาศัยกระบวนการจัดการความรู้ที่
ก้าวข้ามระบบผู้นำเดี่ยวและสร้างองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติอย่างแท้จริง
(learning through action) จากผู้นำที่หลากหลาย
ซึ่งเชื่อว่าความรู้ชนิดนี้
เป็นความรู้ที่สอดคล้องกับบริบทและเงื่อนไขของชุมชนและองค์กรนั้นๆ
มากกว่า ความรู้ที่นำเข้ามาจากภายนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในประชาคมนักวิชาการ ส่วนราชการ
และผู้คุ้นชินกับระบบอำนาจในทุกๆ วงการของสังคมไทยนั้น
มักละเลยที่จะทำความเข้าใจถึงแนวคิดและกรอบการวิเคราะห์ชุมชนนักปฏิบัติก่อนที่จะนำมาใช้กันอย่างลึกซึ้ง
เพื่อที่จะช่วยสร้างและหนุนเสริมให้ชุมชนนักปฏิบัติสามารถพัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างมีพลัง
เป็นเครื่องมือและกลไกในการยกระดับความรู้ (Leverage)
ได้อย่างแท้จริง
เรามักได้ยินกันอย่างคุ้นหูในเวทีสัมมนาและอภิปรายเกี่ยวกับการจัดการความรู้ในที่ต่างๆ
ว่า “เรื่องเหล่านี้ มิใช่เรื่องใหม่ เราทำมานานแล้ว เรามี CoPs
เยอะมากในหน่วยงานของเรา” ชะรอยว่า คำกล่าวอ้างเหล่านี้
จะเป็นวิธีคิดที่สะท้อนถึงการขาดมุมมองเชิงวิเคราะห์หรือขาดความเอาใจใส่ในเชิงการจัดการความรู้อย่างน่าเสียดาย
และในหลายกรณีก็จบลงด้วยความล้มเหลวเลิกรากันไปในที่สุด
สิ่งที่บทความสั้นๆ นี้
มุ่งแสวงหาแนวทางในการทำความเข้าใจและการหนุนสร้างชุมชนนักปฏิบัติให้สามารถเกิดและพัฒนาขึ้นอย่างเต็มตามศักยภาพเพื่อให้การจัดการความรู้ขององค์กรเป็นไปอย่างมีทิศทาง
แนวทางและกรอบการวิเคราะห์ชุมชนนักปฏิบัติ ในการนำเสนอนี้
วางอยู่บนสมมติฐานสำคัญ 2 ประการคือ 1) เชื่อว่าในองค์กร/สถาบันใดๆ
ก็ตามย่อมมีความพยายามในการจัดความสัมพันธ์ของการทำงานในแนวราบ
(ที่มิใช่เพียงแค่เรื่องของเครือญาติหรือเพื่อนพ้องเท่านั้น)
มีและดำรงอยู่ในทุกๆ องค์กรอยู่แล้ว เป็นความรู้ที่แฝงเร้น
ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น “หน่ออ่อนของชุมชนนักปฏิบัติ” ก็ได้
แต่ชุมชนนักปฏิบัติเหล่านี้
ไม่สามารถพัฒนาให้เติบโตและเข้มแข็งได้เพราะระบบความสัมพันธ์ในแนวดิ่งนั้น
มีความเข้มแข็งมากกว่ามาโดยตลอด และ 2) ในบริบทของการจัดการความรู้
(Knowledge Management) นั้น สิ่งที่เรามุ่งหวังคือ “การล้อมสร้าง”
ให้ชุมชนนักปฏิบัติที่มีอยู่แต่ยังไม่แข็งแรงหรือยังไม่มีก็ตาม
ได้สามารถก่อเกิด พัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างเต็มตามศักยภาพ ซึ่ง
“การล้อมสร้าง” นี้ จะต้องทำอย่างมีวิชาความรู้
มิใช่ทำแบบเป็นไปตามสัญชาตญาณ นั่นคือ
ต้องมีกรอบการคิดวิเคราะห์และแนวทางการส่งเสริมพัฒนาที่เหมาะสม
สอดคล้องกับบริบทหรือวัฒนธรรมขององค์กรนั้นๆ
มิใช่เพียงแค่ความปรารถนาดีเฉยๆ ประดุจการรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยต้นไม้
เราก็ต้องเรียนรู้ว่า จะใส่เท่าไร อย่างไรให้เหมาะให้ควร
มิเช่นนั้นก็จะมิได้ดอกออกผลดังที่ต้องการ
ความคาดหวังของการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของชุมชนนักปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน
จะต้องมีการหนุนเสริมให้พัฒนาและเติบโตอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมขององค์กรหรือสถาบันนั้นๆ
เช่นเดียวกัน
กรอบแนวทางการวิเคราะห์ค้นหาชุมชนนักปฏิบัติที่สำคัญควรประกอบด้วย
1.
พัฒนาการหรือการก่อเกิดของกลุ่ม
ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร อะไรคือสิ่งจูงใจหรือความสนใจร่วมกัน
การเกิดขึ้นของกลุ่มเกิดในภาวะหรือบริบทเช่นไร
เป็นการเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือเกิดจากภาวะวิกฤตร่วมกัน
เหตุผลในการก่อเกิดคืออะไรในทัศนะของสมาชิกกลุ่ม
ภาวะผู้นำในการเกิดและดำรงอยู่เป็นอย่างไร
ในอดีตนั้นกลุ่มมีการเผชิญอุปสรรคอย่างไร และฝ่าฟันมาได้อย่างไร
กลุ่มมีกระบวนการและแนวทางการจัดการความขัดแย้งอย่างไร
มีขนาดและการเปลี่ยนแปลงจำนวนสมาชิกกลุ่มอย่างไร
2. Core Business, Core Value
และ Key Success คืออะไร
ตรงนี้เป็นคำถามสำคัญที่ว่ากลุ่มเกิดขึ้นเพื่อทำอะไร เช่น
กลุ่มการวิจัย มีหัวข้อที่สนใจร่วมกันคืออะไร
กลุ่มมีความเชื่อพื้นฐานร่วมกันอย่างไร
อาจรวมถึงวิสัยทัศน์ร่วมของกลุ่มคืออะไร
อะไรคือเป้าหมายหรือธงชัยของกลุ่ม
ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญของกลุ่มที่ผ่านมาคืออะไร
และอะไรคือประเด็นความภาคภูมิใจของสมาชิกกลุ่มร่วมกัน
3.
ระบบความสัมพันธ์ของสมาชิก
สมาชิกของกลุ่มมีระบบความสัมพันธ์เป็นอย่างไร
กลุ่มมีความผูกพันกันแบบไหน ความแนบแน่นของกลุ่มเป็นอย่างไร
ภาวะผู้นำเป็นอย่างไร
ระบบและเครื่องมือการสื่อสารภายในกลุ่มเป็นอย่างไร
อะไรคือช่องทางการสื่อสารหลัก
ความสัมพันธ์ของกลุ่มมีลักษณะของความเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ
ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้กลุ่มดำรงอยู่ได้คืออะไร
อย่างไร
4.
ความสัมพันธ์เชื่องโยงกับภายนอก
ประเด็นมุ่งตรวจสอบว่า กลุ่มมีพัฒนาการและดำรงอยู่ได้นั้น
มีระบบความสัมพันธ์หรือความช่วยเหลือจากภายนอกหรือไม่ อย่างไร
ทั้งความช่วยเหลือในทางเทคนิค ทรัพยากร เทคโนโลยี และอื่นๆ
5. ความยั่งยืนของกลุ่ม
ประเด็นนี้คงต้องมีการวิเคราะห์ใน 2 มิติ คือมิติของมุมมองภายใน (Emic
view) ของสมาชิกกลุ่มเองที่มองความยั่งยืนของกลุ่มเป็นอย่างไร
ต้องการการหนุนเสริมจากภายนอกหรือไม่ อย่างไร
และมิติของมุมมองจากภายนอกหรือผู้วิจัยเอง (Ethic view)
ว่าในฐานะคนภายนอกที่มองเข้าไปนั้น เห็นว่ากลุ่มมีความยั่งยืนหรือไม่
อย่างไร จุดอ่อนจุดแข็งของกลุ่มคืออะไร
ปัจจัยและโอกาสที่จะเอื้อใหกลุ่มพัฒนาและยั่งยืนคืออะไร อย่างไร
6. ระบบการจัดการจัดการความรู้
ประเด็นสุดท้ายนี้คงมีความสำคัญและสอดคล้องกับการจัดการความรู้ว่า
การดำรงอยู่ของกลุ่มเช่นนี้นั้น มีการพัฒนายกระดับความรู้อย่างไร มี
feedback loop ของการจัดการความรู้อย่างไร
หรืออาจวิเคราะห์ลงลึกไปถึงว่าในกระบวนการกลุ่มนั้น ใครคือคุณกิจ
ใครคือคุณอำนวย และคนเหล่านี้แสดงบทบาทได้อย่างไร
กระบวนการยกระดับการเรียนรู้ จาก tacit knowledge สู่ explicit
knowledge เป็นอย่างไร เกิดขึ้นหรือไม่ และสุดท้าย
ชุมชนนักปฏิบัติที่ศึกษาวิเคราะห็นี้
มีการปฏิบัติที่แตกต่างลักษณะการทำงานประจำ (routine work)
อย่างไร
แนวคิดและกรอบการวิเคราะห์ดังกล่าวข้างต้น
เป็นเพียงเครื่องมือในการตรวจสอบระบบวิธีคิดและความเข้าใจ
ในการสร้างหรือหนุนเสริมให้ ชุมชนนักปฏิบัติ
มีความเข้มแข็งขึ้นอย่างสอดคล้องกับบริบทที่เป็นจริง
เราคงอาจนึกถึงกรอบแนวทางการวิเคราะห์ได้อีกมากมายหลายประการ ในที่นี้
เราคงต้องมีการสรุปบทเรียนจากกรณีศึกษาต่างๆ
เพื่อนำมาสู่การประมวลเป็นชุดองค์ความรู้ และพัฒนาสร้าง
“ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน” ให้ชุมชนนักปฏิบัติ
ขยายและเติบโตขึ้นเต็มพื้นที่ สร้าง approach ใหม่ๆ
อันเป็นการช่วยถักทอให้ระบบความสัมพันธ์ในองค์กรมีความเข้มแข็งเกิดดุลยภาพทั้งในแนวตั้งและแนวนอน
ซึ่งยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนี้ ก็มีอีกมากมาย
แต่ละองค์กรก็อาจมีวิธีการในการขับเคลื่อนที่แตกต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามกลุ่ม (cross
sectional learning) การสร้างขยายเครือข่าย (networking)
การหนุนเสริมให้รางวัล (awarding) การสร้างระบบแรงจูงใจ (incentive
system) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (enabling environment)
เป็นต้น ซึ่งรายละเอียดในเรื่องนี้
คงได้มีโอกาสนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในโอกาสต่อไป
******************
ขอบคุณที่ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และขออนุญาตนำบทความนี้ไปอธิบายให้เพื่อรู้และเข้าใจต่อไป
องค์กรกำลังจะจัดทำ เรื่อง Learning Ogranization ค่ะ จะใช้ COP. เป็นเป็นหนึ่งของกิจรกรรมในการจัด KM.ค่ะ อยากได้ที่ปรึกษา หรือ เพือน ๆ ที่มีประสบการณ์ในการจัดทำเรื่องดังกล่าวค่ะ หากมีคำแนะนำดี ๆ รบกวนช่วย Share ความรู้ให้ด้วยค่ะ
ดีมากเลยค่ะ ได้ความรู้จากผู้รู้ และจะติดตามตอนต่อไปอีก อย่าลืมนำมาเล่าเป็นวิทยาทานอีกนะคะ จะรออ่านค่ะ
กำลังทำ KM เรื่อง การนิเทศแบบคู่สัญญา อยากทราบขั้นตอนการดำเนินการ
กราบเรียนอาจารย์รศ.อนุชาติ พวงสำลี ที่เคารพรักยิ่ง
ขอบพระคุณสำหรับบทสรุปสั้นๆสาระอ่านแล้ว get ค่ะ
พิมกำลังทำโครงการ MD.ของการบำบัดผุ้ติดยาเสพติดลักษณะของ COPs.และไม่ใช่
คือ KM.จริงๆแล้วไม่มีรูปแบบตายตัว
อาจารย์คะ ต้องการความช่วยเหลือด่วนมากถึงมากที่สุดค่ะ
พิมอยากได้ข้อมูลการวิเคาระห์การจัดการความรู้เพื่อพัฒนารูแบบการบำบัด
แต่หา fram work ม่ายเจอที่ถูกใจ
บางทีอาจเป็นอาจารย์ที่อ่านใจ Silly Pim. ได้นะคะ
จะรอข่าวและข้อมูล
ได้ให้ email add. ไว้แล้วนะคะ
My best regard.
Pim