ไหนๆ ก็คันมือแล้ว....ก็เลยขอเขียนต่ออีกนิดเกี่ยวกับพื้นฐานของKMนะครับ
อย่างที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วว่ากระแสของKMเกิดขึ้นหลังจากผลงานของ Nonaka และ Takeuchi ชื่อ The Knowledge Creating Company ในปี 1995....แล้วแนวคิดพื้นฐานที่ถูกนำเสนอในหนังสือเล่มนี้คืออะไร??......ผมขอหยิบยกมานำเสนอ 2 ประเด็นนะครับ(เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่สนใจ)
ประเด็นที่ 1 ความหมายของความรู้ : Nonaka และ Takeuchi ได้บอกไว้ว่าความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร หรือ ที่มีอยู่บนโลกนี้สามารถจำแนกได้ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.ความรู้โดยนัย(Tacit Knowledge) ซึ่งหมายถึง ความรู้ที่อยู่ภายในตัวของบุคคล อันเกิดจากการเรียนรู้ของบุคคลจนเกิดเป็นทักษะความสามารถของบุคคล หรือประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ถูกสะสมมา ความรู้ประเภทนี้เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดให้กันได้ยากเพราะจะมีลักษณะที่เป็นนามธรรมสูง 2.ความรู้ชัดแจ้ง(Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นตัวหนังสือ หรือถูกบันทึกไว้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น หนังสือ บทความ คู่มือการทำงาน หรือเอกสารต่างๆ ความรู้ประเภทนี้จะเป็นความรู้ที่ถ่ายทอดให้กันได้ง่ายเพราะจะมีลักษณะเป็นรูปธรรมมากกว่าความรู้โดยนัย
ประเด็นที่ 2 การเปลี่ยนสถานะของความรู้: Nonaka และ Takeuchi ได้บอกไว้ว่าการเปลี่ยนสถานะของความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างความรู้โดยนัย และความรู้ชัดแจ้ง กลายเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงสถานะของความรู้ใน 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.Socialization(From Tacit to Tacit) คือ กระบวนการจัดให้คนมามีปฏิสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้โดยนัยหรือประสบการณ์ระหว่างกัน 2.Externalization (From Tacit to Explicit) คือกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้จากประสบการณ์ในการทำงานออกมาเป็นคำพูด หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งก็คือการเปลี่ยนจากความรู้โดยนัย เป็นความรู้ชัดแจ้ง ที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ง่ายโดยผ่านเครื่องมือ หรือสารสนเทศต่างๆ 3.Combination (From Explicit to Explicit) คือกระบวนการผนวกเอาความรู้ชัดแจ้งเข้าด้วยกันให้เป็นความรู้ที่ชัดแจ้งที่กว้างและมีรายละเอียดมากขึ้น ตัวอย่างของกระบวนการนี้เช่น การทบทวนวรรณกรรม(literature)ในการทำวิจัย เป็นต้น และ 4.Internalization(From Explicit to Tacit) ขั้นตอนนี้ก็คือการเปลี่ยนความรู้ชัดแจ้งให้เป็นความรู้โดยนัยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นการนำเอาความรู้ชัดแจ้งที่ได้ในกระบวนการCombination ไปทดลองปฏิบัติจริง ก็จะเกิดความรู้โดยนัยในตัวผู้ปฏิบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่งต่อไป...กระบวนการทั้ง 4 นี้ เรียกว่าวงจร SECI (เซกิ) ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีวันสิ้นสุด(โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยี หรือเครื่องมือในการทำ KM มากน้อยเพียงใด) จึงจะถือว่าเป็น KM ที่แท้จริง
ตัววงจร "SECI(เซกิ)" นี้เอง ผมถือเอาว่าเป็นจุดเริ่มต้น หรือเป็น Model ต้นแบบของ Model ในการจัดการความรู้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ซึ่งผมคิดว่าตัว Nonaka และ Takeuchi ซึ่งเป็นผู้นำเสนอแนวคิดนี้ก็คงคิดไม่ถึงว่าในเวลาต่อมาจะมีการพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้ในModel ต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการนำเสนอModelต่างๆมากมายในปัจจุบัน แต่โดยเนื้อหาสาระของKMนั้นเป็นสิ่งที่บางทีเราเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำอยู่ในชีวิตประจำวันก็อาจจะเป็นKMโดยตัวของมันเองอยู่แล้วเช่นกัน เช่น สมมุติว่าคุณอยากทำน้ำพริกให้อร่อย คุณก็ต้องพยายามหาข้อมูลจากผู้ที่เชี่ยวชาญ โดยอาจไปขอคำปรึกษาจากคนที่ทำน้ำพริกได้อร่อย พอคุณได้ข้อมูลคุณก็บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หลังจากนั้นคุณก็อาจจะไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือที่สอนเกี่ยวกับการทำน้ำพริก หลังจากนั้นคุณก็ได้ผนวกความรู้จากที่คุณได้ไปคุยกับคนที่ทำน้ำพริกเก่ง รวมเข้ากับส่วนที่คุณไปค้นจากหนังสือมาเพิ่มเติมเขียนเป็นสูตรของคุณเอง หลังจากนั้นคุณก็ลองเอาสูตรที่ได้นั้นไปทดลองทำ ปรากฎว่าอร่อย....คุณก็จะได้ทักษะการทำน้ำพริกนั้นฝังกลับเข้าไปในตัวอีกครั้งหนึ่ง....
เห็นไหมครับว่าจริงๆ แล้ว KM เป็นเรื่องที่อาจจะไม่มีความซับซ้อนอะไรมากมายเลยก็ได้...ผมอยากสรุปในตอนท้ายนี้ไว้ว่า ตัวของBlog หรือเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวกับ KM นั้นสามารถทำให้เกิดวงจรSECI ในกระบวนการที่ 1 ถึง 3 ได้ แต่ในกระบวนการที่ 4 นั้นจะต้องเกิดจากตัวของเราเองเป็นหลักว่าจะลงมือปฏิบัติหรือไม่นั่นแหละครับ.....และอย่าลืมว่าต้องทำให้ต่อเนื่องด้วยนะครับ
ทั้งนี้หลายๆท่านที่ได้อ่านสิ่งที่ผมขีดๆเขียนๆ นี้แล้วหากท่านได้ทดลองปฏิบัติดูบ้าง โดยเริ่มต้นง่ายๆ กับการเขียนหรือศึกษาข้อมูลต่างๆในBlog นี้แหละ...โลกของKM ก็เปิดประตูต้อนรับท่านแล้วนะครับ.....
ขอจบเท่านี้ก่อนไว้ว่างๆ จะมาขีดๆเขียนๆอีกครั้งนะครับ
มาติดตามแบบเกาะติด อิอิ
น้อง ไกรวุฒิ ขา ถ้าจัดหน้าหน่อย จะอ่านง่ายขึ้นนะคะ