เข้าป่า อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี


หลังจากที่พวกเราฝึกวรยุทธ์การยังชีพในป่าจากศูนย์ยังชีพจนช่ำชองแล้ว
ก้อถึงเวลาที่พวกเราทั้งยี่สิบคนต้องนำความรู้ที่ได้ไปใช้แล้ว
โดยสถานที่ที่ให้ฝึกก้อคือ  ป่า  อำเภอบ่อพลอย  จังหวัดกาญจนบุรี
ซึ่งเราต้องไปอยู่เป็นเวลาสามวันสามคืน  ตามที่ได้บอกไปเมื่อครั้งก่อนแล้วว่า
ภารกิจนี้  สมมติเหตุการณ์ว่า  ให้พวกเราเดินทางโดยเครื่องบินแล้วเกิดเหตุขัดข้อง
เครื่องบินตกลงกลางป่า  พวกเราทั้งหมดรอดตาย  แต่พื้นที่ที่เครื่องตกนั้นอยู่ในวงล้อมของศัตรู
ซึ่งพวกเรามีเสบียงและน้ำจำกัดมาก  จึงต้องเดินทางไกลเพื่อออกมาจากพื้นที่นั้นให้ได้
ประมาณนี้
และเนื่องจากพวกเรามีสปายเยอะ  จึงสืบทราบจากรุ่นพี่ปีที่แล้วว่า
ต้องแอบนำอาหารและน้ำเข้าไปเอง  เพราะทางครูฝึกจะไม่มีเตรียมไปให้
ดังนั้นพวกเราจึงต้องซุกซ่อนอาหารเข้าไปเองตามเสื้อผ้า
เพราะไม่มีเป้สนามให้พวกเรา 
ส่วนตัวกระผมเริ่มจากเอาหมูทุบใส่ถุง Zip lock แล้วซ่อนในแขนเสื้อฝึกสองข้างที่พับแขนไว้
แล้วเอามาม่าอีกสองห่อใส่ถุง Zip lock แล้วใส่ใต้หมวกพราง
จากนั้นนำชินมัยอีกถุงใหญ่  เย็บติดกับหลังเสื้อด้านในไว้  และมีลูกอมเล็กน้อยซ่อนไว้
แต่เพื่อนบางคนนั้นเด็ดมาก  นำชินมัยมาพันสก็อตเทป  แล้วพันรอบขาไว้
บางคนนั้นนำอาหารใส่ไว้โคนขาด้านในยังมี!! 
บางคนนำแยมใส่ถุง  และขนมปังแอบไว้ตรงไหนไม่รู้เหมือนกัน  (ที่รู้เพราะตอนอยู่ในป่า  มันเอามาแบ่งให้กิน)
ส่วนอีกหลาย ๆ คนมีที่ซ่อนต่าง ๆ นานาอีกมากมาย  แล้วแต่จะครีเอตสรรหากันซ่อน  ไม่ให้ครูฝึกจับได้
แต่ที่เด็ดสุด  คือ  พวกผู้หญิงสามคน  ลงทุนไปซื้อเสื้อชั้นในใหญ่ ๆ มา  แล้วเอาอาหารซ่อนไว้
ดังนั้นวันนั้นพวกผู้หญิงเหล่านี้จะอึ๋มเป็นพิเศษ  อึ๋มแบบสุดยอด
และครูฝึกซึ่งมีแต่ผู้ชายก้อตรวจไม่ได้ด้วย  เพราะเป็นบริเวณพิเศษ  ถึงแม้จะรู้ทั้งรู้ก้อเถอะ  แต่จนปัญญาตรวจ
ในที่สุดพวกเราก้อแบกอาหารเข้าป่าไปได้บางส่วน  โดยคาดว่าน่าจะพออยู่รอดได้
แต่หารู้ไม่ว่า  ครูฝึกไม่ได้ให้เราอดแค่ 24 ชั่วโมง  แต่ให้เราอดถึงสามวันสามคืนเต็มทีเดียว
ดังนั้นอาหารที่แอบเอาเข้าไป  จึงไม่พอแก่การกินเก้ามื้อของพวกเราทั้งยี่สิบคนแน่นอน
ภารกิจที่ทำนั้นก้อหลัก ๆ คือการเดินทางไกลในป่าแสนร้อน 
ขอย้ำว่าไกลมากจริง ๆ เดินทุกวันทั้งกลางวันและกลางคืน
ที่เหลือก้อคือ  การใช้สิ่งที่เรียนมาประกอบการเดินทางไกล
เช่น  แผนที่  เข็มทิศ  ปืนพลุสัญญาณ  ฯลฯ
ซึ่งแผนที่ ๆ ให้มานั้น  พวกเราเดินไกลกันจนทั่วแผนที่  เดินเป็นวงกลม
ขนาดเดินไม่หลง ยังไกลขนาดนี้อ่ะ  นี่ถ้าหลงสงสัยไม่ต้องพูดเลย
เดินกันจนหมดแรง  ข้ามเขาแล้วข้ามเขาอีก  เฮ้อ...ไม่เคยฝึกอะไรเดินไกลขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต!!
สำหรับอาหารนั้น  ก้อไม่มีให้จริง ๆ
วันแรก  มื้อเช้าไม่มีให้   มื้อกลางวันไม่มีให้   มื้อเย็นให้มาม่า 3 ห่อต่อคนสิบคน !!  ต้องใช้หม้อสนามต้มแบ่งกันคนละคำ
วันสอง  มื้อเช้าไม่มีให้   มื้อกลางวันไม่มีให้   มื้อเย็นให้หมูดิบมาขนาดเท่ากำปั้นต่อสิบคน  ก้อใส่ไม้ไผ่ย่างไฟกินกันคนละคำ
วันสาม  มื้อเช้าไม่มีให้   มื้อกลางวันให้ข้าวสารนิดนึงกะปลากระป๋องหนึ่งกระป๋องต่อคนกินสิบคน  มื้อเย็นไม่มีให้
และให้เดินไกลมาก  ตอนเดินยังสงสัยว่า  รถไม่มีน้ำมันยังไม่แล่น  แต่คนไม่กินข้าว  ทำไมต้องเดินฟะ !!
แต่อย่างว่า  เครื่องบินตกที่ไหนจะมีข้าวให้กินล่ะเนอะ
พวกเราก้อทำอาหารกันเองอย่างอร่อยสุด ๆ และปริมาณน้อยสุด ๆ
อาหารที่แบกไปต้องเจียดมากินร่วมกัน  คนละเล็กละน้อย  ทำให้รักกันมากในกลุ่มเพื่อน ๆ
ส่วนเรื่องสุขานั้น  ดีมาก  ทั้งชายหญิง  ที่โน่นเขาให้เข้าแบบ Outdoor ทั้งคู่  วี้ดวิ้ว!!
ผู้หญิงจงระวัง  การเข้าป่าไปเด็ดดอกไม้นั้น  ให้ทำเวลากลางวัน
เพราะเรายังมองเห็นอะไร ๆ ได้ว่าปลอดภัยหรือไม่  และต้นไม้ยังพรางให้เราได้
แต่กลางคืน  ตาจะปรับแสงได้  มองเห็นก้นสีขาวลอยเด่นมาแต่ไกล  ปิดไงก้อไม่มิด
การฝึกในภาคกลางคืนนั้นก้อสนุก  มีการเดินทางไกลต่อแต่เป็นเดินกลางคืนแค่นั้น
โดยห้ามใช้ไฟฉาย  เพราะข้าศึกอาจเห็นได้ 
(ให้ความรู้หน่อย  ไฟจากก้นบุหรี่  กลางคืนมองได้ไกลถึง 11 กิโลเมตรเชียวนะ)
เพราะงั้นต้องดับไฟ  แล้วเดิน  ถ้าคืนเดือนหงาย ก้อจะมองเห็นง่ายหน่อย
แต่ถ้าคืนเดือนมืด  ก้อลำบากนิดนึง  แต่ก้อดีเพราะดาวบนท้องฟ้าสวยดี  และช่วยนำทางด้วย
กลางคืนนี้  พอเราดับไฟ  ตาเราจะปรับให้เข้ากะธรรมชาติได้เอง  เรียกว่า  Dark  Adaptation
ซึ่งจะเห็นได้รอบ ๆ เลย  สวยดี 
(ให้ความรู้หน่อย  กลางคืนการมองให้ชัดต้องใช้ข้าง ๆ ตานะ  อย่าเพ่ง 
เพราะเซลล์รับภาพในเวลามืดอยู่รอบ ๆ ตา  ไม่ใช่ตรงกลางเหมือนกลางวัน)
และจะมีการฝึกให้เราฟังเสียง  และดูแสงเวลากลางคืนที่ไกล ๆ ออกไป 
แล้วบอกให้ได้ว่าเป็นเสียงหรือแสงของอะไร
เช่น  เสียงขุดดิน  แสงไฟแช็ค  แสงบุหรี่  แสงปืน  เสียงคนคุยกัน  อะไรทำนองเนี้ยอ่ะ
ที่ในป่า  เราได้ฝึกใช้วิทยุเรียกเฮลิคอปเตอร์ให้มารับด้วย 
โดยมีเฮลิคอปเตอร์บินมาจริง ๆ พร้อมอาจารย์จากสถาบันเวชศาสตร์การบิน กทม.
ซึ่งมาพร้อมกับอาหารและของฝาก
ซึ่งจะมาหย่อนทิ้งลงให้ตามตำแหน่งที่เราบอกในวิทยุ 
แล้วจากนั้นพวกเราก้อต้องแย่งกะฝ่ายข้าศึกเข้าแย่งอาหารนั้น ๆ กัน
โดยข้าศึกของเราก้อคือ  ครูฝึกและพวกพลทหารทั้งหลาย
โดยการหย่อนอาหารมีให้ในกลางวันวันสุดท้าย  ซึ่งพวกเราหิวมากกกกก  หน้ามืด  ตาลายกันมากแล้ว
เพราะงั้นถ้าครูฝึกหรือพลทหารใด  กล้าแย่งอาหารกลางวันพวกเราละก้อ  ตายยยยย!!
ในที่สุด  การแย่งอาหารก้อเกิดขึ้น 
และแน่นอน  ฝ่ายที่ชนะต้องเป็นพวกเราแน่นอน  ด้วยความไม่กลัวตายแต่กลัวหิว
แต่อาหารที่ได้มา  กลับเป็นข้าวสารและปลากระป๋อง  เพื่อให้เราใช้วิชาประกอบอาหารในป่ามาทำกินกัน
เฮ้อ..
การทำข้าวให้สุกนั้น  ให้ทำแบบใช้ไม้ไผ่เป็นหม้อข้าว 
โดยนำมาเฉาะตามยาวให้เป็นฝา  แล้วกรอกข้าวและน้ำลงไป
จากนั้นนำมาตั้งไฟ  และก้อรอ  จะได้ข้าวที่หอมอร่อยมาก
แต่ถ้าทำไม้ไผ่มาหั่นตามขวาง  แล้วกรอกข้าวสารนั้น  จะได้ข้าวหลามแทน
ซึ่งครูฝึกบอกว่าวิธีนี้ก้อกินได้  แต่คะแนนไม่เยอะ  เพราะงั้นพวกเราเลยต้องทำวิธีแรกแทน
โดยมีดที่ใช้ฟันไม้ไผ่นั้น  เป็นมีดทหาร  ซึ่งครูฝึกแจกให้
ก้อสมเป็นมีดทหารจริง ๆ คือ สนิมเขรอะเลย  และคมมาก  ดังสโลแกนที่ว่า 
"ลับด้วยลม  คมด้วยแรง"
การไปป่าครั้งนี้  กระผมได้วิชาเพิ่มเติมคือ  การจุดไฟ  และการก่อแค้มป์ไฟจากฟืน
ซึ่งสนุกดี  จากเดิมที่ทำไม่เป็น  ต้องช่วย ๆ คนอื่นเขา
แต่วันนี้  ทำเป็นแล้ว  ไม่ดับด้วย  เย้....อวด ๆ
โดยกลางคืน  พวกเราต้องสลับเวรกันเฝ้ากองไฟ  เพราะกองไฟนอกจากให้แสงสว่างและความอบอุ่นแล้ว
เรายังใช้ประโยชน์มันจากการกันสัตว์ร้ายต่าง ๆ ด้วย
การนอนในตอนกลางคืนนั้น  เนื่องจากสภาพอากาศช่วงเดือนมิถุนายนนี้เป็นอากาศร้อนชื้น
และมีฝนตกเป็นประจำ  ซึ่งเป็นสิ่งที่แย่มาก
พวกเราจะได้รับมอบผ้ายางคนละผืน  ศัพท์ทหารเรียกว่า  "ผ้าบังโจ"
ซึ่งไอ้เจ้าผ้าบังโจนี้มีประโยชน์อย่างมาก  เพราะมันช่วยเราได้ทั้งบังแดดและฝน
นอกจากนั้นยังสามารถนำมาประกอบกันสร้างเป็นที่พักอาศัยได้อีกด้วย
ซึ่งทุกวันทั้งกลางวันและกลางคืน  พวกเราก้อต้องตัดไม้นำมาสร้างเป็นเสา
แล้วก้อใช้ต้นไม้เล็ก ๆ เหนียวมาทำเชือกผูกยึดเสา กะผ้าบังโจ  เพื่อไว้หลับนอนและหลบฝน
สนุกดี  แต่เหนื่อยจริง ๆ กว่าจะได้นอนซักทีนึงเนี่ย
อ้อ...ส่วนที่นอนก้อมีให้เลือกหลายแบบนะ  ขึ้นกับความชอบของแต่ละคน  ไม่ว่ากัน
เช่น  พื้นหิน  พื้นดิน  พื้นทราย  พื้นหญ้า  พื้นกรวด  (แต่พื้นน้ำคงไม่มีใครเลือกนอนนะ)
เรื่องการอาบน้ำนั้น  ไม่มีเลยครับ  NO ตลอดสามวัน  เจ็ดสิบสองชั่วโมง
ไม่มีตลอด  ทั้งชายและหญิง  ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าที่จะเอาไปเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นเสื้อนอกหรือชั้นใน
อนาถสุด ๆ เดินอย่างไกล  เหงื่อออกมาก  ร้อนตับแตก 
แล้วฝนตก  นอนกะดิน  แต่ดันไม่มีที่อาบน้ำ  เสื้อผ้าอย่างเน่าเลยล่ะ
แต่วิธีแก้คือ  แป้งเย็น  Protect  ICY cool สุดยอดจริง ๆ พิสูจน์แล้วจากป่า
ว่าดีจริง ๆ เย็นจริง ๆ แม้กลางแดดจ้า  ช่วยพวกเราได้มากจริง ๆ ซึมซับเหงื่อเป็นเยี่ยมด้วย
ร้อนเมื่อไหร่  หยอดแป้งลงไป  หายร้อนทุกที่  ยกเว้นหยอดในที่ XXX จะซาบซ่าเป็นพิเศษ
ใครไม่เชื่อลองดู  หยอด XXX ทีเดียว  จากหมดแรงเดิน  กลายเป็นวิ่งได้เลย...
ของเม้าท์เรื่องพี่ Som Sorn แพทย์เขมรที่มาเรียนร่วมกับพวกเราหน่อย
ในเวลาปรกติที่เรียนกันที่ กทม.หรือในศูนย์ยังชีพนั้น  พี่แกก้อมึน ๆ งง ๆ ไปตามเรื่องตามราว
แต่พอเข้าป่า  โห...พี่แกสุดยอด  อายุ 52 ปีแล้ว  แต่เดินได้ตลอด  อึดมาก
ไม่บ่นเหนื่อยเลย  เดินไปเรื่อย  ยิ้มตลอด  เป็นคนเดียวในยี่สิบคนที่ไม่บ่นเลย
หรือเป็นเพราะแกไม่รู้ว่าภาษาไทยบ่นยังไงก้อได้มั้ง
นับถือจริง ๆ แกบอกว่า  เหนื่อย  แต่เป็นทหารต้องทำได้!!  สุดยอดมั้ย  ทหารไทยงี้อายไปเลย
แล้วเวลาแกก่อกองไฟหรือทำที่พักนะ  แกจะดูคล่องแคล่วเป็นพิเศษ 
พอไปถามว่าทำไมแกเก่งด้านนี้  แกบอกว่า "เขมรแดงสอนผมมา" (เสียงเหน่อ ๆ หน่อย)
แว้ก...ตกใจกันไปเป็นแถบ ๆ ที่แท้แกไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย
อ้อ...มีพี่อีกคนที่ต้องเล่า  ชื่อ  พี่น้อย  แกเป็นหมอทหารเรือ  จบพระมงกุฏเหมือนกัน
พี่น้อยนั้น  ตอนที่อยู่ศูนย์ยังชีพ  คนอื่นเค้าเตรียมซ่อนอาหารกัน  แกก้อนอน
คนอื่นเค้าเตรียมโน่นเตรียมนี่กัน  แกก้อไปอาบน้ำสบายใจ
เราก้องงว่า  ทำไมแกดูสบายใจจัง
มารู้ความจริงในป่า  ว่าแกเกิดมาเพื่อเป็นพรานป่าโดยแท้  แกเก่งจริง ๆ
ตัวเล็ก สูงประมาณ 165 ซม.  แต่อึดมาก  เดินนำหน้าตลอด
และยังแบกเป้ใส่ผ้าบังโจของสมาชิกในกลุ่มอีกด้วย
นอกจากนั้นยังเดิน ๆ ไป  แกก้อแวบหายไปจากขบวน
สักพักกลับมาพร้อมอาหารต่าง ๆ เช่น  สัปปะรด , อ้อย , มะม่วง , ส้มโอ ฯลฯ
ไม่รู้แกไปหามาจากต้นไหน  เก่งจริง ๆ เดิน ๆ ไปแกก้อจับใบไม้มาชิม   แล้วบอกว่ากินได้ใบนี้
น่าน  เอากะแก...มิน่า  ไม่ต้องเตรียมเสบียงมา  มาหาเอาดาบหน้านี่เอง  สุดยอด
ส่วนกระผมนั้น  เดินป่าก้อเดินไปบ่นไปตามสูตร  เหนื่อยจริง ๆ
แต่ดีที่ความอึดของเรายังมากกว่าอีกหลายคนในกลุ่ม  เลยไม่บ่นมาก
แต่ความหิวนี่เราก้อนำหน้าคนในกลุ่มเลย  เฮ้อ...
แต่ลึก ๆ แอบดีใจ  เพราะคาดว่ากลับ กทม.คราวนี้น้ำหนักน่าจะลดลง  เย้...
ในวันที่สาม  ระหว่างเดินขึ้นเขาลูกหนึ่ง  ด้วยความ Wrong place wrong time
ก้อมีผึ้งเจ้ากรรม  บินมาต่อยเปรี้ยงเข้าที่ฝ่ามือซ้ายของผม!!
ซวยจริง ๆ คนมีตั้งยี่สิบคน  แถมเดินเรียงคิวกัน  ไอ้เราก้อเดินตรงกลาง  ไหงเลือกมาต่อยเรา
เฮ้อ...Wrong place wrong time จริง ๆ ไอ้เรายิ่งเป็นคนแพ้ง่าย ๆ อยู่
จากนั้นมือซ้ายเราก้อเริ่มบวม  ทั้งฝ่ามือและหลังมือ  ลามมาถึงแขน  ข้อศอกซ้าย
จากนั้นผื่นขึ้นเต็มท้องและแขนขวา  แต่ไม่มีหอบเหนื่อยหรืออะไรนะ 
เราเลยกินยาแก้แพ้  และฉีดยาแก้แพ้ที่ก้น!!  เจ็บ....
พอดีอาจารย์ขึ้น ฮ.มาจาก กทม.มาเยี่ยม  ก้อจะแบกเรากลับ กทม.ไป รพ.
เพราะกลัวอาการแพ้รุนแรง  ซึ่งจะถึงแก่ชีวิตได้
แต่ไอ้เราก้อบ้าระห่ำ  ไม่ยอมกลับ  ขอฝึกต่อ!!  (แมนมะ)
ไม่ใช่ไรหรอก  ก้อแหม  มันก้อดูไม่น่ามีไรมาก  นอกจากคัน  ไม่ได้หอบเหนื่อยอะไร
แล้วก้อการฝึกเหลืออีกแค่ครึ่งวันก้อจะจบอยู่แล้ว  เสียดายที่ฝึกมาทั้งหมดน่ะ
และกลัวไปแล้ว  เพื่อน ๆ ที่เหลืออยู่จะหมดกำลังใจฝึกกันอ่ะ  เลยไม่ไปดีกว่า  อยากอยู่สนุกและเหนื่อยเหม็นต่อ
ก้อสมใจ  สนุกจริง ๆ เพราะคืนนั้นภารกิจสุดท้ายเป็นการฝึกเล็ดลอดหลบหนีในเวลากลางคืน
เพื่อไปยังสถานที่ที่ครูฝึกกำหนดให้ได้
แต่พวกเราด้วยความเก๋า  ก้อเดินไปเรื่อย ๆ ดูตามแผนที่  เลือกเส้นทางที่ตัดผ่านหมู่บ้าน
แล้วจากนั้นไปเคาะบ้านเขา  ขอซื้อข้าวกิน  เขาก้อดีมาก 
เนื่องจากพวกเราไปกันเยอะ  เขาต้องขี่มอเตอร์ไซด์ไปซื้ออาหารมาทำให้กิน
ได้ข้าวไข่เจียว ปลาทอดมากินกัน  อร่อยที่สุดในโลกกกกก  และยังได้ล้างหน้าล้างตากันอีกเย้
จากนั้นมีแรงขึ้นมามหาศาลทันที  พวกเราก้อจ้างชาวบ้านคนหนึ่งเดินนำทางตัดทุ่ง ลัดไปหาครูฝึกอย่างง่ายดาย
เย้...ทั้งสนุกทั้งอร่อย 
ตกคืนนั้นก้อเป็นคืนสุดท้าย  พวกเราหมดแรงทำที่พักกันแล้ว 
เลยปูผ้าบังโจกะพื้นแล้วเตรียมนอนเลยทุกคน  จากนั้นก่อกองไฟ  นั่งเม้าท์กันถึงตีสี่ค่อยหลับ
หกโมงเช้ารีบตื่น  ไปปลุกครูฝึก  อยากกลับกทม.ใจจะขาด
และก้อสำเร็จ  ได้กลับสมใจ
กลับมาที่ศูนย์ยังชีพ  รร.การบิน อำเภอกำแพงแสน นครปฐม  เพื่อรับประกาศนียบัตรผ่าน
แล้วทานโต๊ะจีนเลี้ยงครูฝึกและพวกเรา 
อำลากันเรียบร้อย  เก็บของ  กลับกรุงเทพฯกัน...เย้
สรุปการเดินทางไปฝึกในป่าครั้งนี้
เจ็ดวันในศูนย์ยังชีพ  สบายที่สุดในโลก 
แต่สามวันในป่าบ่อพลอย  ลำบากสุดเลยตั้งแต่เคยฝึกทหารในป่ามา
แต่อย่างน้อย  ก้อได้สนิทกะเพื่อนอีกสิบเก้าคน  ไม่ทะเลาะกันเลย 
ทั้ง ๆ ที่พวกเราเหนื่อยที่สุด  หิวที่สุดก้อตาม
และสุดท้าย  ได้โรคผิวหนังกลับมาจากป่ากันทุกคน  เป็นทั้งตัว  คันมาก  ผื่นเต็มไปหมดเลย
ผิวก้อดำมาก  เพราะไม่มีครีมกันแดด 
ที่สำคัญน้ำหนักที่กะว่าจะลด  ก้อไม่ลด  เพราะกลับจากป่า  แล้วโซ้ยแก้แค้น 
เลยกลายเป็นอ้วนดำ อ้วนดำ  เฮ้อ...เอน็จอนาถจริง ๆ
คำสำคัญ (Tags): #บ่อพลอย
หมายเลขบันทึก: 116992เขียนเมื่อ 5 สิงหาคม 2007 10:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 00:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท