กินต้านโลกาภิวัตน์
อัจฉรา รักยุติธรรม
กินต้านโลกาภิวัฒน์
ความเป็นไปในกระแสโลกาภิวัตน์ ดูราวกับจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก จนมีคำถามว่าคนตัวเล็ก ๆ อย่างเรา ๆ จะทำอะไรกันได้บ้าง ขณะที่กิจการธุรกิจระดับโลกกำลังทำกำไรนับล้านล้านบาทจากการขายบุหรี่คร่าชีวิตมนุษย์ การฉีดฮอร์โมนลงในเนื้อสัตว์ การผลิตชุดชั้นในจากโรงงานนรก หรือการตัดต่อพันธุกรรมพืชและสัตว์ที่เป็นอาหารของเรา ฯลฯ
เลือกซื้อเลือกกิน - ปฏิบัติการทางสังคม
เปิดสายตรงผู้บริโภคถึงเกษตรกร
ความจริงแล้วเรามีทางเลือกมากมายในการกินอยู่ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว การเลือกบริโภคของเรายังสามารถเป็นปฏิบัติการทางสังคมในการสร้างโลกใหม่ ที่มีระบบการค้าที่เป็นธรรมต่อผู้ผลิตและต่อสภาพแวดล้อม
ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอง่าย ๆ สี่ประการ เกี่ยวกับปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมที่ผู้บริโภคคนไหน ๆ ก็ทำได้
ประการแรก เลือกบริโภคอย่างมีข้อมูล
คือ ก่อนที่จะซื้อหาอะไรก็น่าจะใส่ใจสักนิดว่าสินค้านั้น ๆ ผลิตขึ้นมาที่ไหน อย่างไร กระบวนการผลิตได้สร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมหรือผู้คนในสังคมอย่างไรบ้าง
เนื่องจากเราอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ที่สินค้าต่าง ๆ มีการผลิตและเคลื่อนย้ายข้ามโลก ก็อาจจะทำได้ยากสักหน่อยที่จะรู้ข้อมูลเหล่านี้ แต่ถ้าผู้บริโภคช่วยกันสนใจข้อมูลกันมาก ๆ ก็จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ผลิตเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น
เป็นที่น่าสังเกตว่าในปัจจุบันมีองค์กรมากมายทั่วโลกที่พยายามเสนอขายสินค้า “สีเขียว” หรือสินค้าที่เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม และสินค้า “สีน้ำเงิน” หรือสินค้าผลิตโดยกระบวนการที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของคนงาน ตลอดจนสินค้าเพื่อสังคมในแบบอื่น ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกบริโภคสินค้าได้อย่างมีคุณค่าเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมีเครือข่ายผู้บริโภคเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งมีการทำกิจกรรมเพื่อสังคมและรณรงค์กดดันให้บริษัทผู้ผลิตคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สิทธิและความปลอดภัยของแรงงาน สุขภาพของผู้บริโภคและสิทธิของชุมชนต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งรณรงค์ให้ปิดกิจการที่สร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงาน ข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับกิจกรรมเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้เราเลือกที่จะไม่ซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตเหล่านั้น
ประการที่สอง เลือกซื้อสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่น
หลายพื้นที่ในโลกมีการปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรให้เป็นไปตามกระแสความต้องการของผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคหันมาสนใจการซื้อผลิตผลจากตลาดในท้องถิ่นและผักผลไม้อินทรีย์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในกรณีของสหรัฐอเมริกามีอาหารที่ผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์ขายเพิ่มขึ้นถึงปีละ 10 เปอร์เซ็นต์
การเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่นทำได้ง่ายมาก แต่ส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมันจะช่วยลดการบริโภคสินค้าข้ามโลกที่ต้องผ่านกระบวนการขนส่งทางไกล เปลืองค่าน้ำมัน ค่าแรงงาน ค่าตู้คอนเทนเนอร์แช่เย็น ลดการบริโภคทรัพยากรและการทำลายสภาพแวดล้อม นอกจากนั้น ยังเป็นการสนับสนุนวิสาหกิจของท้องถิ่นให้อยู่ได้โดยมีเงินหมุนเวียน และมีกำไรที่จะนำไปสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน
ประการที่สาม อุดหนุนระบบการเกษตรเพื่อชุมชน
ในชุมชนเมืองหลายแห่งมีกิจกรรมที่สร้างโอกาสให้ผู้บริโภคในเมืองได้รู้จักหรือร่วมเครือข่ายกับเกษตรกรที่ผลิตพืชผักอินทรีย์โดยตรง เช่น การมีตลาดนัดเกษตรอินทรีย์ที่เกษตรกรมาขายผลผลิตด้วยตนเอง หรือกรณีที่ผู้บริโภคในเมืองรับซื้อพืชผักจากฟาร์มที่ผู้ผลิตจะนำมาส่งให้เป็นประจำตามกำหนดเวลาที่นัดหมายกัน ทั้งนี้ ก็เพื่อตัดตอนกลไกทางตลาดและพ่อค้าคนกลาง ทำให้ผู้บริโภคได้บริโภคพืชผักสด ๆ ในราคาที่เป็นธรรม และช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนท้องถิ่นและสังคมได้อย่างง่าย ๆ
ประการที่สี่ สนับสนุนระบบการค้าที่เป็นธรรม
ในบางกรณีเราอาจไม่สามารถเลือกบริโภคสินค้าจากท้องถิ่นได้ เพราะเป็นสินค้าที่ผลิตไม่ได้ในท้องถิ่น เช่น คนในภาคเหนือจำเป็นต้องบริโภคอาหารทะเล หรือแม้กระทั่งจำเป็นต้องบริโภคสินค้าที่ผลิตมาจากอีกซีกหนึ่งของโลก อย่างเช่น ชาติตะวันตกหลายประเทศที่บริโภคกาแฟ หรือโกโก้ซึ่งปลูกไม่ได้ในประเทศของตนเอง ในกรณีเหล่านี้ก็ควรจะเลือกบริโภคสินค้าในระบบการค้าที่เป็นธรรมที่เรียกว่าแฟร์เทรด (Fair Trade) ซึ่งสินค้าจากระบบแฟร์เทรดนั้นก็มีให้เลือกมากมายทั่วโลก
Fair Trade - การค้าที่เป็นธรรม
ขณะที่บริษัทธุรกิจต่าง ๆ พยายามกดค่าแรงผู้ผลิต หรือคนงานในสายพานการผลิตเพื่อที่จะลดทุนต้นการผลิตให้ต่ำที่สุดเพื่อให้ตนเองจะมีกำไรมากที่สุด สินค้าแฟร์เทรดกลับพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน นั่นคือ การคำนึงถึงการตอบแทนผู้ผลิตอย่างเป็นธรรม คำนึงถึงค่าแรงที่เป็นธรรม สิทธิ ศักดิ์ศรีและสภาวะการทำงานที่ดีของผู้ผลิต แทนที่จะปล่อยให้สินค้าผ่านมือพ่อค้าคนกลางหลายทอด กิจการแฟร์เทรดพยายามลดขั้นตอนเหล่านั้นเพื่อประหยัดต้นทุน แล้วนำไปเพิ่มเป็นผลตอบแทนให้แก่ผู้ผลิต
กิจการแฟร์เทรดมักมีการรวมกลุ่มกันเครือข่าย หรือสหกรณ์การเกษตร ซึ่งจะมีการจัดสวัสดิการต่าง ๆ ให้แก่ผู้ผลิต เช่น สวัสดิการด้านสุขภาพ การดูแลบุตรหลาน กองทุนกู้ยืม ตลอดจนจัดสรรกำไรของกลุ่มเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
ปัจจุบันมีกิจการแฟร์เทรดที่เกิดขึ้นมากมาย เช่น ระบบการซื้อขายกาแฟที่มีเกษตรกรเป็นสมาชิกมากกว่า 350,000 คน ซึ่งมีการรวมกันเป็นกลุ่มเกษตรกรมากกว่า 300 กลุ่ม ใน 22 ประเทศ หรือการซื้อขายโกโก้ที่มีเกษตรกรมากกว่า 40,000 คนเป็นสมาชิกอยู่ใน 8 กลุ่มของ 8 ประเทศ
บางคนอาจจะเห็นว่าการสนับสนุนแฟร์เทรดนั้นเป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรต้องตกอยู่ในภาวะพึ่งพาตลาดโลก แต่การทำแบบนี้อาจจะช่วยแก้ปัญหาความยากจนได้ในระยะกลาง ขณะที่การสนับสนุนความเข้มแข็งของตลาดท้องถิ่น หรือตลาดในประเทศก็ต้องทำกันต่อไปในระยะยาว
ข้อเสนอเหล่านี้คือปฏิบัติการณ์ง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็สามารถเริ่มต้นทำได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อจะได้เป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีตัวเอง และยังสามารถเป็นแรงต้านกระแสโลกาภิวัตน์ โดยการสร้างะระบบเศรษฐกิจการค้าที่เป็นธรรมและยั่งยืนในสังคม
ข้อมูล
จาก Cavanagh John, and Jerry Mander (editors). (2004). Alternative to Economic Globalization: A Better World is Possible. San Francisco: Berrett-Koehler Publisher, Inc.
http://www.localtalk2004.com/V2005/detail.php?file=1&code=c1_01122006_01
ไม่มีความเห็น