ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวทั่วสรรพางค์กายเหลือประมาณ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอยกับกกหู อย่างกับว่าโดนอะไรหนักๆทุบมายังไงยังงั้น
และทันทีที่ผมพยายามจะลุกขึ้นก็มีใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า
“เห็นที่ผมจะต้องขอเตือนคุณว่าอย่าได้พยายามเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก” บุรุษในชุดกาวน์กล่าวเสียงราบเรียบ
ผมใช้เวลาปรับสายตาและตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปรอบๆ ผมเห็นตนเองถูกพันธนาการไว้บนเตียงคนไข้ มีสายระโยงระยางต่อเข้ากับเครื่องมือทางการแพทย์ตรงหัวเตียงเสียงดังปี๊บๆ เขานั่งอยู่ตรงนั้นตลอดเวลาในห้องที่เรียกได้ว่าเกือบจะว่างเปล่าหากไม่นับเตียงที่ผมนอนกับเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่
“นี่มันอะไรกัน ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ ?” ผมถามด้วยความสงสัย
“ทำไมนะรึ ? คุณถูกจับด้วยข้อหาฆ่าคนตายโดยทารุณโหดร้าย ผมให้การต่อศาลในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญว่าคุณเจ็บป่วยทางจิต จำเป็นต้องรับการบำบัด ศาลจึงสั่งให้คุณอยู่ในความดูแลของผม”
“บ้าจริง ! ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ผมต่างหากที่เป็นหมอ คุณแน่ใจหรือว่าตำรวจไม่ได้จับคนผิด” ผมค่อนข้างตระหนกและพยายามดิ้นรนลุกขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องเหลวไหลนี้
“อ้อ ! เกือบลืมไป คุณปิติ ผมยังมีข้อแนะนำอีกว่าคุณควรทำตัวดีๆเข้าไว้ เพราะมีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะวินิจฉัยได้ว่าการบำบัดจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่” เขากล่าวโดยไม่รับฟังผมแม้แต่นิดเดียว
“ปัดโธ่ ! ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมเป็นหมอ แล้วก็ไม่ได้ชื่อปิติด้วย ผมชื่อวรเชษฐ์ ถ้าคุณลองโทรไปที่โรงพยาบาลมหานคร คุณจะรู้ว่าผมพูดจริง และผมก็ต้องไปที่นั่นด่วนๆด้วย ผมกำลังรักษาคนไข้ค้างอยู่ เขาแย่แน่ถ้าไม่มีผม”
“คุณปิติ ที่นี่คือโรงพยาบาลมหานครและคุณก็ไม่ได้เป็นหมอ” เขาเน้นน้ำเสียงหนักแน่น
ผมโมโหจนพูดไม่ออกเมื่อได้รับคำตอบแบบนี้ นี่จะต้องเป็นเรื่องตลกร้ายของใครซักคนที่โรงพยาบาลแน่ๆคนพวกนี้ชอบอำกันเล่นเสมอ แต่นี่มันชักจะเกินเลยไปหน่อยแล้ว พวกเขาไม่รู้หรืออย่างไรกันนะว่าไม่ควรเอาวิชาชีพอันสูงส่งมาล้อเล่น
ก่อนที่จะถูกจองจำอยู่ในห้องเส็งเครงอย่างไร้เหตุผลนี้ จำได้ว่าผมกำลังผ่าตัดคนไข้โรคหลอดเลือดหัวใจตีบค้างอยู่ แล้วก็เหมือนกับถูกปิดสวิตส์ที่ความรับรู้และประสาทสัมผัสทุกอายตนะ ถึงวาระนี้ก็ให้ฉงนใจว่าไฉนจึงตื่นขึ้นมาพบกับความเคราะห์ร้ายเป็นที่สุด
“ผมผ่าตัดคนไข้โรคหัวใจค้างอยู่ เขาต้องการความช่วยเหลือเป็นการด่วน ถ้าคุณยังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง ก็โปรดปล่อยให้ผมไปทำหน้าที่ของผมเถอะ” ผมพยายามขอร้องโดยดี เผื่อว่ามนุษย์ที่เสียสติในคราบคนในวิชาชีพแพทย์ผู้นี้จะให้เสรีภาพแก่ผมคืนมา
บุรุษชุดกาวน์สีขาวผู้นี้ทอดถอนใจคราหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า
“คุณปิติ คุณจะพยายามไปเพื่ออะไรกัน คุณก็รู้อยู่หรือมิใช่ ว่าสิ่งที่คุณทำไว้มันเลวร้ายมาก ช่างร้ายกาจเป็นที่สุด ใครๆที่ทราบเรื่องนี้ต่างก็ลงความเห็นกันแบบนี้”
“ผมทำอะไร ? แค่พยายามรักษาคนไข้นี่เรอะ” ผมอดทนต่อไปอีกมิได้ที่จะไม่ขึ้นเสียง ผมใช้ขันติมามากพอแล้ว
“คุณไม่ต้องห่วงหญิงสาวผู้โชคร้ายคนนั้นอีกแล้ว เธอตายอย่างน่าอเนจอนาถนัก” เขาแสร้งพูดให้มีน้ำเสียงฟังดูเศร้าๆ
“อะไรกัน ! เธอตายแล้วหรือ ?” ผมถึงกับตกใจมิใช่น้อย
“คุณไม่ต้องทำมารยาว่าไม่ทราบเรื่อง ทั้งๆที่รู้แก่ใจดีว่าเธอตายด้วยน้ำมือของคุณเอง ผมสะอิดสะเอียนเต็มทีแล้ว” เขากล่าวเย้ยหยันพร้อมใช้สายตาดูแคลน
“บ้าจริง ! ผมกำลังรักษาเธออยู่ชัดๆ จะมากล่าวหาว่าฆ่าเธอได้ไง ?”
“คุณปิติ คุณไม่ใช่หมอ เมื่อวานนี้คุณลักลอบเข้าไปในห้องผ่าตัด ทำร้ายแพทย์พยาบาลทุกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการรักษาคนไข้จนบาดเจ็บสาหัส แล้วคุณก็จัดการทำในสิ่งที่... คุณทำ... แบบนั้น... !” เขาพูดราวกับว่าไม่อาจหาคำใดที่เหมาะสมมาอธิบายด้วยท่าทางขยะแขยงรังเกียจ ซึ่งมันทำให้ผมสุดจะทนแล้ว
“นี่มันปรักปรำกันชัดๆ ! ผมต้องมีทนาย และผมขอใช้สิทธิตามกฎหมายติดต่อทนาย ผมจะฟ้องคุณเสียให้เข็ด ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพ แล้วก็ฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าด้วย” ผมเดือดดาลสุดขีด อยากจะลุกไปตะบันหน้าเจ้าหมอนี่สักที
“ปั๊ดโธ่ ! โว้ย ! ปล่อยผมไปเดียวนี้ หูแตกรึไง ?”
“คุณใช้มีดหมอกรีดร่างเธอจนพรุน ควักหัวใจเธอออกมา...”
“ปล่อยผมเดียวนี้ !”
“...แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ยัดใส่ปากหมอและพยาบาลทุกคนในนั้น...”
“หุบปากโสโครกของคุณแล้วปล่อยผมเดี๋ยวนี้ !” ถึงตอนนี้ผมพยายามดิ้นรนสุดกำลัง ถ้าผมหลุดไปได้ล่ะก็...
“...ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใดในการบำบัดเยียวยาจิตใจให้ดีเหมือนเดิม... แล้วคุณยังมีหน้ามาขอใช้สิทธิ์บ้าบอคอแตกอะไรอีก”
เขาทำให้เก้าอี้ว่างเปล่าในขณะที่พูดแล้วเขยิบเข้ามาใกล้ผม พลางเอื้อมมือทั้งสองเค้นที่ลำคอจนผมเกือบหายใจไม่ออก ผมเห็นประกายอำมหิตในแววตาของเขาดั่งเปลวเพลิงทมิฬ หาได้มีความเมตตาเช่นบุตรของหมอชีวกโกมารภัทรแม้แต่น้อยนิด
“หุบปากของคุณซะ !...”
อาจเป็นเคราะห์ดีของผมก็เป็นได้ที่สายรัดข้อมือขวาของผมหลุดออก หรืออาจเป็นผลมาจากการที่ผมดิ้นรนอย่างแรงด้วยอีกโสดหนึ่งก็เป็นได้ ได้การล่ะ !
‘ผลั๊วะ ! ’
“โอ้ยยย !!!”
…………………………………………….
“บ้าชะมัด! แสงไฟนี่มันช่างแยงนัยตาเสียเหลือเกิน” ผมรำพึงในใจขณะที่พยายามลืมตาตื่นขึ้นพร้อมๆกับเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณครึ่งปากครึ่งจมูกและกระโดงคางราวกับว่าโดนปั้นจั่นทุบหรือผมอาจจะเดินไปชนหมัดหนักๆของใครเข้าก็ไม่รู้แน่ แต่เมื่อลองลุกขึ้นก็พบว่าผมถูกพันธนาการไว้บนเตียงคนไข้ในห้องสีขาวสนิท ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องล้วนเป็นสีขาวไปหมดแม้กระทั่งไอ้เตียงทุเรศๆที่ผมนอนอยู่นี้
ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เป็นเวลาใด มันเหมือนกับทุกสิ่งรอบๆตัวผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงตื่นอยู่และถูกอำนาจของเวลาครอบงำไว้แล้วบังคับให้ร่างกายที่ขยับเขยื้อนไม่ได้นี้เหวี่ยงหมุนไปอย่างเชื่องช้าตามที่มันชอบใจ บรรยากาศเงียบกริบแบบนี้ช่างอ้างว้างว่างเปล่ากัดกร่อนกลืนกินได้แม้กระทั่งวิญญาณ ผมได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองถี่เร็วขึ้นทุกขณะตามอารมณ์อันเริ่มจะพลุ่งพล่านขึ้น มันสุดที่จะทนได้แล้ว
“นี่มันอะไรกัน” ผมคำรามเสียงทุ้มต่ำในคอแสดงความไม่พอใจยิ่งนัก พลางพยายามปลดเปลื้องตัวเองออกจากตรวนพลาสติกสีขาวอันเป็นสิ่งผูกมัดรัดกายอยู่นี้ ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งโพล่งขึ้นชายคนนี้คงจะอยู่ข้างในนี้อย่างเงียบเชียบตลอดเวลาจนผมคงไม่ได้สังเกตเห็น แต่เหนือสิ่งอื่นใดประโยคที่เขาพูดกลับรบกวนจิตใจผม
“อย่าพยายามเลย คุณปิติ ไม่สิ คุณวรเชษฐ์! มันไม่มีประโยชน์หรอก” คำพูดนี้มันคลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยฟังที่ไหนมาสักแห่งหรือผมอาจจะเคยพูดกับใครสักคนหนึ่งซึ่งก็ไม่แน่ใจ
“คุณอยู่ในความควบคุมของผมอย่างไกล้ชิด มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะวินิจฉัยได้ว่าคุณจะพ้นจากสภาพนี้เมื่อไหร่” ชายชุดกาวน์จงใจแสดงความเหนือกว่าออกมาอย่างกับว่าเพิ่งจะเคยลิ้มรสของอำนาจเป็นครั้งแรก กระนั้นก็ดีเพียงแค่ใช้คำพูดข่มขู่ไม่กี่คำคิดหรือว่าผมจะยอมสยบง่ายๆ
“ปล่อยผมเดี๋ยวนี้! ผมเป็นหมอนะ”
“อ๋อ! แน่ล่ะ! คุณอาจจะเป็น คุณหมอปิติ หรือไม่ก็คุณหมอวรเชษฐ์ ศัลยแพทย์ผู้มีมีดหมอเป็นอาวุธสังหาร” น้ำเสียงของเขามีนัยประชดประชัน
“อาวุธสังหารเหรอ? บ้าไปแล้ว จะบอกให้นะผมชื่อ ปฐมพงศ์ เป็นจิตแพทย์โรงพยาบาลมหานคร...” ผมลองพยายามอธิบายเผื่อว่าอะไรมันจะดีขึ้น
“โอ! คุณหมอปฐมพงศ์ อีกแล้วหรือ?” เขาส่ายหน้าเอือมระอาเหมือนกับว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาเบื่อหน่าย ถึงตอนนี้ผมก็เริ่มจำได้อย่างเลือนรางว่าเคยเห็นหน้าตาของบุรุษผู้อ้างเอาความเป็นหมอมาข่มเหงผมผู้นี้ ใช่สิ! มันต้องที่ไหนสักแห่งนั่นแหละ บางทีผมอาจไปทำเรื่องเลวร้ายบางอย่างไว้ก็ได้ เขาถึงได้เกลียดผมนัก แน่ล่ะ! แม้ว่าจะไม่ถึงกับเรียกว่าเกลียด แต่ก็คงเรียกว่าชอบไม่ได้แน่ๆ
“เอ้อ! คุณหมอจะช่วยอธิบาย.....”
“อธิบายในสิ่งที่ดีๆที่คุณทำไว้นะเหรอ?”
........................................................................
“นักศึกษา! ห้องสีขาวติดกระจกแบบที่มองเห็นด้านเดียวจากด้านนอกตรงหน้าเรานี้ คณะแพทย์วินิจฉัยว่าคนไข้ต้องได้รับการบำบัดโดยไม่มีกำหนดและให้ตรึงไว้กับเตียงในห้องนี้เพียงคนเดียว เนื่องจากเขาอันตรายมาก...” นักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งซึ่งยืนรายล้อมผมอยู่นี้หูผึ่งด้วยความสนใจ ส่วนมือที่จับปากกาก็บรรจงขยุกขยุยลงบนสมุดบันทึกเล่มเล็กของแต่ละคน ขณะที่ผมบรรยายกรณีศึกษาของคนที่มีบุคลิกหลากหลายแยกออกจากกันได้โดยสิ้นเชิง
“คล้ายๆเรื่องดอกเตอร์เจคิลกับมิสเตอร์ไฮด์เลยนะคะอาจารย์”
“เขาอันตรายยังไงครับอาจารย์?”
-จบ-
มาทักทายค่ะอ๋อง
อ่านแล้วๆ...งง..งง..ว่าคนที่นอน..กับคนที่นอน...ครั้งที่1 กับ ครั้งที่2..
เป็นคนเดิ หรือเป็นคนใหม่...แต่ก็ OK....
แหะๆ ตั้งใจให้สับสนเล่นครับ
แต่แต่งมาแบบมือใหม่หัดขับ ขอบคุณที่มาติชมครับ
อ่านละงงสมใจคนแต่เลย เหอ ๆ