ผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับเวลา ๒ เดือนสำหรับการเริ่มเดินสานแนะนำ KM ให้กับหน่วยงานต่างๆภายในมหาวิทยาลัย จึงได้โอกาสมาทบทวนการปฏิบัติงานที่ผ่านมา และค้นหาแนวทางที่จะดำเนินการต่อ
เป้าหมายช่วง ๒ เดือนที่ผ่านมาคือ การไปแนะนำและพยายามให้เกิดการใช้ การจัดการความรู้ในหน่วยงานต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งได้ไปแนะนำและชักชวนให้ใช้ การจัดการความรู้ที่ คณะศิลปศาสตร์ คณะกายภาพบำบัด สำนักพัฒนาวิชาการ รวมทั้งพยายามจัดให้มีการแลกเปลี่ยนข้ามหน่วยงาน เพื่อสร้างเครือข่ายเพื่อที่จะได้เกิดการช่วยเหลือกันภายในมหาวิทยาลัย
ผลสำเร็จที่เห็นเป็นรูปธรรมในขณะนี้เกิดขึ้นที่คณะศิลปศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะแรกที่ได้เข้าไปพูดคุยด้วย โดยทางคณะสามารถที่จะจัดเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเองภายในคณะ โดยในขณะนี้ก็มีการวางแผนที่จะจัดอีกหลายเวทีให้เกิดขึ้น โดยเน้นที่เวทีขนาดเล็ก ให้ตรงกับความสนใจของผู้ที่จะเข้าร่วมมากที่สุด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ คือ ความมุ่งมั่นในการทำงานของคุณเอื้อประจำคณะ คือ ดร.จรัสศรี จิรภาส ที่มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินงานและใช้เทคนิคการประสานงานชั้นยอดเพื่อให้เกิดเวทีขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม เช่นดึงคุณอำนวยที่มีความตั้งใจอย่าง ดร.สมศรี จันทร์สม มาช่วยและชักชวน คุณกิจซึ่งเป็นคณาจารย์กลุ่มเล็กๆภายในคณะที่มีใจอยากแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้ได้มาพบกัน
ส่วนคณะและหน่วยงานอื่นคงต้องให้เวลาและรอดูกันต่อไป ถึงแนวทางการพัฒนาและความก้าวหน้าที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการสอบกลางภาคและจะปิดอีกประมาณ ๒ อาทิตย์ในช่วงกีฬามหาวิทยาลัยโลก แต่จากการเดินสายสอบถามพูดคุยก็ทราบว่าในบางคณะก็เริ่มมีการจัดกิจกรรมที่ให้คณาจารย์ภายในคณะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอยู่บ้างแล้ว คงต้องติดตามและจัดเวทีข้ามหน่วยงานเพื่อให้มาพบกันและแลกเปลี่ยนกันให้มากขึ้น
สิ่งที่ได้เรียนรู้ที่สำคัญในช่วง ๒ เดือนที่ผ่านมาคือ ส่วนใหญ่มักจะต้องการเพียงแค่การรู้จัก KM ว่าคืออะไร และอยากทำ KM เพื่อให้ได้ตามเกณฑ์การประกันคุณภาพ เท่านั้น จึงทำให้ต้องระมัดระวังในการที่จะเข้าไปยังหน่วยงานต่างๆ โดยต้องบอกวัตถุประสงค์ให้หน่วยงานนั้นได้ทราบอย่างชัดเจน ว่าไม่ได้แค่มาแนะนำหรือทำให้รู้จักว่า KM คืออะไร แต่ต้องการที่จะมาร่วมด้วยช่วยกันค้นหาวิธีการที่จะนำ KM มาพัฒนางานต่างๆของหน่วยงานและมหาวิทยาลัยของเรา สิ่งสำคัญคือ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อพิพาทหรือไปเพิ่มความขัดแย้ง ภายในหน่วยงานนั้นๆเพิ่มขึ้นไปอีก
จุดเปลี่ยนที่สำคัญอันดับแรกคือ ต้องทำให้บรรยากาศในการทำงานที่ในหน่วยงานเดียวกัน เป็นแบบต่างคนต่างทำ ต่างหน่วยงานก็ต่างทำ ไม่มีการประสานงานกัน ทุกคนทำงานแบบระมัดระวังตัวกลัวคนมาจับผิด จนบางครั้งไม่ยอมร่วมมือกัน แทบไม่ค่อยมีความไว้วางใจกัน (เป็นมุมมองของผมเองนะครับ อาจผิดก็ได้ครับที่อาจจะมองภาพไม่ครบทุกมุม หรือมองภาพออกจะเลวร้ายไป จริงๆแล้วอาจไม่ถึงขั้นนี้ก็ได้) ให้กลายมาเป็นการเห็นอกเห็นใจกัน การอยากช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้มีไมตรีแบ่งกันบ้าง วิธีการที่ผมจะทำได้คือใช้ประโยชน์ของวงในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้เห็นคุณค่าของการให้และแบ่งปัน โดยจะพยายามจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามหน่วยงาน เพื่อค่อยๆลดบรรยากาศในการทำงานแบบตัวใครตัวมันลง ให้มาเป็นการช่วยเหลือและประสานงานกัน เป็นงานยากและอาจไม่สำเร็จง่ายๆครับ แต่ถ้าไม่ลองแฃะไม่เริ่มต้นก็ยิ่งไม่มีวันสำเร็จ แต่ถ้าลองแล้วไม่สำเร็จก็ได้เรียนรู้เช่นกัน ถือว่าไม่เสียเปล่าครับ