วันอาทิตย์ที่ 22 กค. ขณะนั่งคุยอยู่กับนักศึกษาที่ชั้นสองบนตึก SCB มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นควันไฟดำกำลังพวยพุ่ง มองจากตรงนั้น เหตุไฟไหม้คงเกิดหลังโรงภาพยนตร์ .. ดูใกล้บ้านของเรามาก สิ่งแรกที่ทำคือ โทรไปหาแม่ ที่บ้านไม่มีใครรู้เรื่อง
เสร็จแล้วเราวิ่งขึ้นไปชั้นสี่ มองลงมาอีกที ตำแหน่งของต้นเพลิงไม่ใช่หลังโรงภาพยนตร์อย่างที่คิดตอนแรก แต่เป็นด้านริมถนนใหญ่ ไกลบ้านไปอีกระยะหนึ่ง โทรไปหาแม่ บอกว่าไม่เป็นไรแล้ว
ด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งที่เราอยู่ ด้วยระยะใกล้ไกล สูงต่ำที่ต่างกัน ทำให้เห็นภาพต่างกัน มุมมองต่างกัน และความเข้าใจต่อปัญหาต่างกัน
ในทำนองเดียวกัน
หลังจากได้มีโอกาสลงพื้นที่หมู่บ้านต่างๆในช่วง 4 ปี โดยเฉพาะปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยใจดีให้ลา “เพิ่มพูนความรู้” (โดยต้องเขียนหนังสือไปส่ง) เราจึงได้ลงไปทำงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิดกว่าเดิม รับรู้มุมมอง วิธีคิด วิธีแก้ปัญหาของชาวบ้านมากขึ้น และได้เรียนรู้วิธีคิด วิธีขับเคลื่อนงานของนักวิชาการต่างสาขามากขึ้น
เมื่อเราต้องกลับเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน ได้คุยกับเพื่อนนักวิชาการ เราจึงตระหนักว่า ในรายละเอียดเรื่องวิถีชีวิตชาวบ้านที่เรารับรู้ (หลายกลุ่มจาก 13 จังหวัดนั้น) ความรู้เรากลับไม่ทันกับสถานการณ์โลก สถานการณ์ของประเทศในภาพรวม เห็นภาพเล็กแต่ไม่เห็นภาพใหญ่ หรือเห็นไม่ชัด
การทำงานในพื้นที่เล็กๆแบบเจาะลึก เมื่อเข้าสู่เวทีวิชาการ น้ำหนักหมัดในการพูดคุยของเราเทียบไม่ได้เลยกับการใช้ข้อมูลที่ทำให้เห็นทิศทางในระดับประเทศที่ได้มาจากการอ่านงานของคนอื่นมากๆ หรือเก็บข้อมูลระดับประเทศ (ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะถูกหรือผิด)
สิ่งที่เราอธิบายเกี่ยวกับพื้นที่ บอกไม่ได้ว่า ที่อื่นๆก็เป็นเช่นที่ว่ารึเปล่า แม้จะอธิบายความยากลำบากในกระบวนการทำงานเพื่อผลักดันเรื่องสักเรื่อง วิธีอธิบายจากภาพของกลุ่มเล็กๆนั้น มีน้ำหนักเทียบไม่ได้กับวิธีอธิบายที่สามารถเชื่อมโยงสถานการณ์โลก มาสู่ประเทศ มาสู่ภาคการผลิตในสาขาต่างๆ ภาพจากการสัมภาษณ์คนเป็นครึ่งพันจากหลายพื้นที่ในช่วงเวลาสั้นๆแล้วนำมาประมวลทางสถิติ ก็ดูน่าทึ่ง แม้จะไม่มีการพูดถึงรอยยิ้มหรือน้ำตาผู้คนในคำอธิบายเหล่านั้น แต่เขาก็คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น บอกกันว่าใครได้ใครเสีย
ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะ ปัญหาที่พบในชุมชน จริงๆแล้วมีสาเหตุมาจากนอกชุมชน การอยู่แต่ในชุมชนจึงไม่พอจะเห็นปัญหาชัดๆ จำเป็นต้องมองระยะไกลด้วย
คงไม่ต่างจากที่แม่ซึ่งอยู่ที่บ้าน ไม่รู้ว่าไฟกำลังไหม้ใกล้บ้าน เราอยู่ไกลกว่าแต่อยู่ในระยะสูงกว่า เห็นภาพกว้าง เห็นสถานการณ์รอบๆมากกว่า บอกทิศทางเตือนภัยได้ดีกว่า แต่ไม่ได้ลงไปช่วยแก้ปัญหาโดยตรง และไม่รู้ว่า คนในบริเวณเกิดเหตุจริงๆแล้วกำลังคิดอะไร แก้ปัญหากันอย่างไร
คำถามคือ นักวิชาการควรจะอยู่ที่ตำแหน่งไหน ประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างผู้อยู่บนหอคอยกับผู้อยู่ในพื้นที่เป็นอย่างไร
คิดว่ามีสองทางที่จะเป็นทางออก ทางหนึ่ง คือ การใช้วิธีวิ่งขึ้นวิ่งลง ทางที่สองคือ การสร้างระบบสื่อสาร
ที่ผ่านมา คนวิ่งขึ้นวิ่งลงยังน้อย ระยะเวลาอยู่ในพื้นที่ยังสั้น และระบบสื่อสารระหว่างนักวิชาการกับชาวบ้านยังอยู่กันคนละฐานคิด คนละฐานภาษา
เราคิดว่า อย่างไรเสีย สังคมยังต้องการคนที่อยู่บนหอคอย คอยมองช่วยเตือนภัย หาทิศทางที่ดีกว่า แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหอคอยไม่สูงจริง อยู่แค่ชั้นสองก็มองพลาดได้ หอคอยสูงๆ ก็ต้องการระบบสื่อสารทั้งจากล่างขึ้นบน และบนลงล่าง ซึ่งนักวิชาการยังทำงานได้ไม่ดีพอ และยังไม่มีกลไกอื่นๆช่วยทำงานตรงนี้
สวัสดีครับ อาจารย์ปัทมาวดี
ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยน และมุมมองดีๆค่ะ
ดิฉันเห็นว่า สังคมต้องการคนยืนอยู่หลายๆจุด เพื่อให้เกิดมุมมองหลากหลายรอบด้าน แต่ที่สำคัญคือ ต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะว่า นอกจาก ยืน..มอง..แล้วต้องคิดและลงมือทำด้วย
เคยเจอบันทึกอยู่บทหนึ่ง เขียนคล้ายๆกับเรื่องนี้ว่า