งานรับน้องเริ่มขึ้นเมื่อเดือนที่สาม


นอกจากนี้เขายังเตรียมพร้อมตลอดเวลาสำหรับการรับการประเมินจาก HA, ISO และ JCI

วันที่ 25 กรกฎาคม 2550

วันนี้เป็นวันพุธของสัปดาห์ที่ 12 นับไปก็เหลือ 113 วันแล้วครับ วันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะว่าผมต้องเข้าร่วม employee orientation programme ซึ่งจัดขึ้นโดยโรงพยาบาล หน่วยงาน human resource เป็นผู้ดำเนินการ ฟังดูอาจจะแปลกนะครับ เพราะว่าผมทำงานมาตั้ง 3 เดือนเข้าไปแล้ว แต่เนื่องจากไม่มีเวลาว่างเลยครับ วันนี้ครูหาญไม่อยู่ เขาเลยจัดให้ผมเข้าร่วมในวันนี้เลย

                มีคนร่วมทั้งหมด 30 คนรวมทั้งตัวผม เป็นผู้หญิงซะ 29 คนครับ เป็นอันว่าวันนี้หล่อที่สุดในห้องเลย ไม่มีคนเถียงใช่ไหม งานเริ่มตั้งแต่เวลา 8.30 น. ผมไปสายเสีย 5 นาที เพราะว่าเพิ่ง round กับอาร์เธอเสร็จ ผู้ดำเนินรายการสาวจัดการให้เราคุยกันราว 5 นาที ทักทายกันให้ทั่วโต๊ะ จากนั้นก็ให้เราแนะนำเพื่อนคนที่อยู่ทางขวามือให้คนอื่นในห้องรู้จัก โต๊ะผมมีหมอเด็กอยู่ 1 คน ชื่อคุณหมอลิม เธอเป็นหมอที่นี่ และทำงานอยู่นานแล้ว แต่เพิ่งกลับมาจากเรียนต่อจากต่างประเทศด้าน child development เลยกลายเป็นหมอใหม่ไป อายุก็ราวๆ 40 กว่านิดๆ นอกนั้นเป็นผู้ช่วยพยาบาล 2 คน (คนนึงกำลังจะไปเรียนหมอที่ Australia ต้นปีหน้า) เป็นนักรังสีวินิจฉัย 4 คน จากนั้นผู้ดำเนินรายการทั้ง 2 คนก็แนะนำระบบการทำงานของโรงพยาบาล ระบบการปกครอง ผมทราบว่ามีคุณหมอไทยคนหนึ่งเป็นหัวหน้างานฝ่าย medical affair ชื่อพี่วรรณภา เห็นรูปแล้วคุ้นจับจิต ว่าต้องเป็นรุ่นพี่ที่จบจากม.อ.แน่ๆ บีเคยบอกผมว่ามีพี่ทำงานอยู่ แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นใคร เดี๋ยวคงต้องโทรไปหาดูสักที

                หลังจากนั้นท่าน CEO คุณหมอ Ivy Ng ผู้หญิงสูง ร่างสง่า หน้าตาเหมือนคนญี่ปุ่น บุคลิกดีที่ผมรู้สึกชอบเธอมาตั้งแต่งานเลี้ยงสังสรรค์ในงาน ASM เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เธอมากล่าวต้อนรับเป็นเวลาราว 10 นาที เล่นเอาผมเพลินไปเลยครับ ผมทราบมาว่า ท่านเป็นภรรยาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (Ministry of Man power) มิน่า ถึงได้ดูสง่านัก (แบบว่าชอบจริงๆครับ) หลังจากนั้นก็เป็นการบรรยายของฝ่าย fire safety and security ซึ่งหัวหน้าที่มาบรรยายนั้นพูดเก่งมาก หัวเราะกันตลอด ที่โรงพยาบาลนี้เขามีระบบป้องกันไฟที่ทันสมัยมาก มีระบบฉีดน้ำ springer ติดอยู่ทั่วทั้งตัวตึก ที่เขาสามารถรับรองได้ว่า หากมีไฟไหม้แล้ว ระบบฉีดน้ำสามารถฉีดน้ำลงได้อย่างครอบคลุม (ถ้ามันทำงานนะ..ล้อเล่น)

                ในช่วงเช้านี้ยังมีการมาโฆษณาให้สมาชิกใหม่สมัครสมาชิก UNION ซึ่งมีลักษณะคล้ายกลุ่มองค์กร หรือสหกรณ์ หรืออะไรบางอย่าง ที่เราต้องจ่ายเงินทุกเดือน แล้วเราจะมีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมเขาได้ ดูหนังลดราคา เติมน้ำมันราคาถูก งานนี้เล่นเอาผมเซ็ง เพราะว่าไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด แล้วก็ใช้เวลานานพอสมควร

                ช่วงบ่ายมีการเล่นเกมคลายง่วง คือเกมกับระเบิด ที่ผู้ดำเนินรายการสั่งให้เราทำงาน โดยใช้คำสั่งสั้นๆที่ไม่ได้ใจความ แล้วปล่อยให้สมาชิกในกลุ่มจัดการแก้ปัญหาเอาเอง เสร็จจากเล่นเกมก็มีฝ่ายการพยาบาลมาสาธิตวิธีการสวมหน้ากากเมื่อยามมีคนไข้ Sar, ไข้หวัดนก อย่างที่ผมเคยไปลองสวม mask นั่นแหละครับ ทุกคนที่ทำงานที่นี่ต้องมีหมายเลขและขนาดของ mask 2 ชนิด ย้ำว่าทุกคนครับ จากนั้นก็เล่นเกมกันต่อ คือเกม treasure hunt ที่ทำให้เราได้วิ่งเล่นไปยังสถานที่ต่างๆในโรงพยาบาลจนเหนื่อยแล้วกลับมากินอาหารว่างกัน ต่อด้วยการมาโฆษณาหาทุนขององค์การ SHARE ที่มีเพื่อหาทุนช่วยเหลือคน 4 กลุ่ม คือ CDEF: Child, Disability, Elderly, Family ซึ่งคนบรรยายเขาเก่งมาก เรียกอารมณ์ผู้ฟังได้อย่างดี มีวีดิทัศน์ให้ดู ผมรู้สึกดีที่มีหน่วยงานอย่างนี้บ้างในเมืองที่ทุนนิยมกำลังขับเคลื่อนอย่างไปรวดเร็ว อย่างน้อยก็มีคนที่คอยช่วยเหลือผู้ที่เดินตามไม่ทันให้เขาสามารถอยู่ได้ด้วยลำแข้งตัวเองอย่างมีความสุข (ตามอัตภาพเช่นเดียวกัน)

                ผมไม่ได้ร่วมสมัครเพื่อการบริจาคหรอกครับ เพราะว่าอยู่ที่นี่ผมจน (แต่ไม่ต้องรับการสงเคราะห์) แต่ผมก็ยังบริจาคให้คนไทยเราอยู่ทุกเดือน ตอนนี้ผมมีกองทุนอยู่ในมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์อยู่แล้วครับ เติมเงินเข้าไปทุกเดือน แม่ผมก็สมทบด้วย คนไข้บางคนที่เขาทราบก็ร่วมลงขันด้วย เคยมีคนไข้ที่ผมสนิทเขาจะให้เงินเป็นการส่วนตัว ก็ให้เขาเอาไปลงในกองทุนผมแทน เขาก็ยังได้ประโยชน์จากการลดภาษีได้อีก เรียกว่าไม่ต้องขัดศรัทธา อย่างน้อยคนไข้บางคนจะได้มีค่ารถกลับบ้าน มีเงินกินข้าวเที่ยง ผมมีคนไข้ใช้เงินประจำอยู่ 2 คนครับ คนหนึ่งเป็นเอดส์ที่กำลังตกงาน คนหนึ่งเป็นป้าแก่ๆ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย มีรายได้จากการรับจ้างกรีดยางวันละ 2 แผ่น! เมื่อแกมาหาผมก็หมดค่ารถพอดี แรกๆจะให้ไปรับเงินที่หน่วยสิทธิประโยชน์ก็ไม่ยอมไป จนกระทั่งต้องบังคับ เขาจะให้เงิน 400 บาทก็ไม่เอา เอาแค่ 200 บาท หลังๆนี้เลยส่งไปหาพี่กุญ (สิทธิประโยชน์) ทุกครั้งก่อนกลับบ้าน รายนี้ผมคาดว่าแก่น่าจะเสียชีวิตไปตั้งแต่เราพบว่า มะเร็งที่เป็นนั้นเป็นชนิดที่รุนแรงและลุกลามไปปอด เราให้การรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น แต่ปรากฏว่าแกทนมาก ดูแลกันมากว่า 2 ปีแล้ว พบว่าโรคสงบแฮะ ก็เลยดีใจ สงสัยยังสามารถรับเงินเราได้อีกนาน ในอนาคตผมมีความคิดว่า เงินในกองทุนนั้น น่าจะนำมาใช้ประโยชน์เรื่องสิทธิสตรีและเด็กที่ถูกกระทำรุนแรงครับ

                ว่าเรื่องงานอบรมต่อ เราจบการอบรมด้วยการเล่นเกมข้ามแม่น้ำอะเมซอน เราต้องเดินข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน เท้าต่อเท้า ห้ามให้แผ่นยางที่รองอยู่ปราศจากเท้า ต้องจับมือกันเดินไปด้วยกันทั้ง 30 คน สาวๆในห้องอมยิ้มกันใหญ่ เพราะลุ้นกันว่าใครต้องมาจับมือกับผม ไม่น่าเขินเลยครับ ผมต่างหากที่น่าจะอาย เพราะเป็นชายคนเดียวในนี้

                เราจบการอบรมกว่า 5 โมงครึ่ง เล่นเอาเหนื่อยล้ากันไปตามๆกัน ผมสรุปว่าได้ประโยชน์จากงานนี้นิดเดียว เพราะนี่เป็นเดือนที่ 3 ที่ผมทำงานที่นี่แล้ว เลยรู้สึกเบื่อๆ ที่ได้ประโยชน์ก็คือ ทราบว่าเขาตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยมาก ที่สิงคโปร์เขากลัวการก่อการร้ายจริงๆ นอกจากนี้เขายังเตรียมพร้อมตลอดเวลาสำหรับการรับการประเมินจาก HA, ISO และ JCI

-          ISO 9001 ดูถึงการจัดการด้านคุณภาพ ดูถึงความคุ้มทุนในการจัดการ

-          ISO 14001 ดูด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นมา

-          OHSAS 18001 นี่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะเขาประเมินการจัดการด้านความปลอดภัยที่มีต่อทั้งบุคลากรและผู้ป่วย คงคุ้นๆกันดีนะครับกับคำว่า risk management, patient safety

-          JCI (joint commission international) คือการประเมินจากองค์กรที่ดูถึงความพร้อมของโรงพยาบาลในการดูแลคนไข้จากต่างประเทศ นั่นคือ ชาวต่างชาติที่มีเงินมากๆ ที่เขาจะมารับการรักษาในโรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่งนั้น เขาจะพิจารณาโรงพยาบาลที่ผ่านการประเมินจาก JCI ก่อน ซึ่งตอนนี้ ที่นี่ตื่นตัวกับการประเมินจาก JCI เป็นอย่างมาก

วันนี้ตอนเย็นผมมีนัดกินข้าวเย็นกับเซี้ยงและพี่โต้งครับ เนื่องจากว่าวันพรุ่งนี้น้องจะกลับเมืองไทยแล้ว เราเลือกไปกินกันที่ Bugis junction กินอาหารไทยในศูนย์อาหาร ได้คุยกับป้าแม่ครัวเจ้าของร้าน ซึ่งอยู่ที่มานานกว่า 20 ปี เนื่องจากมีสามีที่นี่ ส้มตำของแกรสจัดจ้านถูกปากมากครับ อีกทั้งต้มยำทะเลก็อร่อยไม่แพ้กัน

               

จากนั้นก็เดินกันไปยังย่าน Little India ซึ่งพี่โต้งยังไม่เคยไป เซี้ยงจะไปซื้อของฝากกลับเมืองไทย ผมจึงพาเดินผ่าน HDB ที่ผมพักอาศัยอยู่ ไป Mustafa แล้วจบลงที่ร้านขายของที่ระลึก กว่าจะเสร็จเรื่องก็ 4 ทุ่ม แล้วก็แยกย้ายจากกัน
หมายเลขบันทึก: 114776เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2007 12:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

คุณหมอ นอกจากเขียนเก่ง แล้วยังใจบุญอีก

ขอให้ได้บุญมากๆนะคะ

คุณ P  ครับ

ไม่ได้คิดเรื่องบุญหรอกครับ

แต่อยากจะลดความอยากได้ (เงินที่เพิ่มขึ้นทุกวัน) ด้วยการให้ แบ่งปันบ้าง

และจะได้สอนลูกได้อยากเต็มปากเต็มคำ เรื่องการแบ่งปัน

และที่สำคัญที่สุดคือ เวลาเราเจอคนไข้ที่ยากจนมากๆ แล้วรู้สึกว่า เราละเลยเขาไม่ได้เลยครับ คุณอุบลก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกับผม คนจนมักจะไม่สบาย คนจนเป็นมะเร็งก็มาก นั่นแหละครับ ที่มาของการตั้งกองทุน

สวัสดีครับ

  • ความดีงดงามเสมอ... อยากให้คนได้ร่วมชื่นชมในความดีงามนี้ร่วมกัน 

 ผมไม่ได้ร่วมสมัครเพื่อการบริจาคหรอกครับ เพราะว่าอยู่ที่นี่ผมจน (แต่ไม่ต้องรับการสงเคราะห์) แต่ผมก็ยังบริจาคให้คนไทยเราอยู่ทุกเดือน ตอนนี้ผมมีกองทุนอยู่ในมูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์อยู่แล้วครับ เติมเงินเข้าไปทุกเดือน แม่ผมก็สมทบด้วย คนไข้บางคนที่เขาทราบก็ร่วมลงขันด้วย เคยมีคนไข้ที่ผมสนิทเขาจะให้เงินเป็นการส่วนตัว ก็ให้เขาเอาไปลงในกองทุนผมแทน เขาก็ยังได้ประโยชน์จากการลดภาษีได้อีก

อ่านเรื่องระบบของโรงพยาบาลก็เพลินดีครับ...

มาสะดุดตรงกองทุนของคุณหมอครับ น่าประทับใจจริง ๆ ครับ โดยเฉพาะคนไข้ประจำกองทุนทั้ง 2 คน...

อ่านเรื่องดี ๆ ก็พลอยรู้สึกดี ๆ ไปด้วยครับ...

ขอบคุณมากครับ...

P
สวัสดีค่ะ
คุณหมอเป็นหมอแล้วยังใจบุญอีก นับถือๆค่ะ

ขอบคุณครับคุณ P P P และ อาจารย์ P 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท