เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 ครบกำหนดให้ต้องรายงานผลงานเรื่อง การจัดการความรู้ ของสำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี ตามตัวชี้วัด งวดที่ 1 โดยมีแบบฟอร์มมาให้กรอกและเขียนข้อมูล
การทำงานจึงเริ่มจากการตีความว่า "เราต้องมีและใช้เนื้อหาอะไรบ้าง? ที่เขาต้องการรู้" หลังจากนั้น "ก็นำมาเทียบกับข้อมูลและเนื้อหาสาระที่เราทำนั้นมีอะไรบ้าง? และเรามีวิธีการและกระบวนการปฏิบัติงานเรื่องการจัดการความรู้นี้อย่างไร? ผลที่เราสรุปได้มีว่าอย่างไร?"
ฉะนั้น การรายงานผลงานจึงเริ่มจาก
"เขียน เล่าวิธีการทำงาน ที่เริ่มต้นจากมองหาคนที่เราจะนำมาเป็นทีมงานนั้น เป็นคนแบบไหน/ต้องเป็นในเรื่องอะไรบ้าง/งานที่ต้องใช้ในการทำเรื่องนี้มีอะไรบ้าง แล้วจึงติดต่อประสานงานเพื่อจัดตั้งเป็นทีมงาน หลังจากนั้น จึงมาทบทวนงานเรื่อง การจัดการความรู้ มาศึกษาข้อมูลที่เป็นเนื้อหาสาระ แล้วมาศึกษาตัวชี้วัดที่เขาจะวัด หลังจากนั้นนำมาผนวกกับการเรียนรู้ที่จะใช้ในการเสริมงานให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งสิ่งนี้ออกมาเป็น กรอบแนวทางการทำงานและแผนการปฏิบัติงาน และ Road map พร้อมกับยกร่างโครงการ แล้วจึงขอเชิญทีมงานมาประชุมร่วมกันเริ่มตั้งแต่การสอบถามความรู้ความเข้าใจเรื่องการจัดการความรู้ ข้อสงสัย ที่มีการซักถาม แลกเปลี่ยนและสรุปว่า...ทีมงานเราพอจะเข้าใจเรื่องการจัดการความรู้เป็นเบื้องต้นคือ การกำหนดเป้าหมาย การกำหนดประเด็นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการรวบรวมและจัดเก็บความรู้ ที่เหลือคือ ทุกคนกลับไปทำงานกันจริงก่อนแล้วค่อยมาเจอกัน ส่วนการฝึกทีมงานได้เริ่มจากการหมุนเวียนเพื่อบันทึกรายงานการประชุม ซึ่งได้มีการเติมเต็มให้ หลังจากนั้นเราก็มาประชุมรวมทีมเพื่อเตรียมการจัดกระบวนการเพื่อทบทวนความรู้และสร้างความรู้ความเข้าใจและกำหนดเป้าหมายของการจัดการความรู้ ของสำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยทุกคนร่วมกันเสนอถึงงานที่เราต้องทำในวันนั้นมีเรื่องอะไรบ้าง แล้วให้แต่ละคนเลือกว่าตนเองจะทำอะไร สิ่งที่เห็นก็คือ งานที่แต่ละคนเลือกนั้นต่างเป็นภารกิจและบทบาทหน้าที่ของเนื้องานตนเอง เช่น ช่างภาพก็เลือกถ่ายภาพให้ เป็นต้น ส่วนผลงานที่เกิดขึ้นก็จะมีแกนหลักในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลและสรุปรายงานเป็นเอกสารพร้อมภาพประกอบ"
ดังนั้น ชิ้นงานที่เกิดขึ้นที่นำมาใช้เป็นหลักฐานก็คือ
1) การทำงานกันจริง
2) เอกสาร/สิ่งพิมพ์ จำนวน 5 ชิ้นงาน
ก็เป็นการทำงานที่เรามุ่งเพื่อพัฒนาทีมงานให้มีความเข้าใจว่า การจัดการความรู้นั้น มิใช่เราเป็นคนแบก KM แต่ให้ทีมงานเกิดความรู้สึกว่า เราทุกคนมิได้มาทำงานที่แปลกแยกหรือเพิ่มภาระ เช่น ความรู้ที่ได้จากการจดบันทึกรายงานการประชุม ความรู้ที่เกิดจากการนำปัญหามาแลกเปลี่ยนและหาทางออกให้กัน เป็นต้น การทำงานจึงอยู่ที่ "ความเป็นห่วงความรู้สึกของทีมงานเป็นหลัก" และงานที่ออกมานั้นทุกคนรู้สึกยินดี ไม่มีคำว่า "ปฏิเสธ" สิ่งนี้เป็นกำลังใจที่ทำให้ดิฉันดำเนินงานเรื่องนี้ต่อไปได้ค่ะ.
อยากรู้จังว่า km ส่วนกลางไปถึงไหนกันบ้าง พี่ว่าว่างๆเรามาคุยกัน จัดวงสรุปบทเรียนของส่วนกลางเหมือนปีที่แล้วจะดีไหม จือลองๆคุยกับทีมของสำนักดูนะ
เรียน คุณราญส่งเสริม
ด้วยความยินดีค่ะ