เคยไหม ? ที่เราถูกใครมองว่าเป็นคนไม่ดี
เพื่อนๆ หลายคนคงเคยพบกับเหตุการณ์เหล่านี้บ้างไม่มากก็น้อย บางครั้งเราตั้งใจทำอะไรดีๆ ซักอย่าง แต่กลับถูกมองว่าไม่ดีเอาเสียเลย ตอนนั้นเพื่อนๆ รู้สึกอย่างไร
เสียใจ! หมดกำลังใจ! ท้อแท้! หดหู่! เศร้า!
คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะรู้สึกอย่างนั้น สำหรับตัวผู้เขียนเองก็เคยเป็นแบบนั้นอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นนานๆ เข้าก็อาจจะถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ (555) ช่วงนี้ผู้เขียนขออนุญาตเอาข้อความจาก Fwd mail. มาเป็นหัวข้อในการคุยกันอีกครั้งนะคะ เพราะอ่านแล้วปิ๊ง ก็มันจริงของเค๊านี่เน๊อะ
ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า “ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ”
หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า "เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรก คือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ"
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา “คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยากตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ”
“มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศจนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนีทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร”
“สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทาหาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล”
“แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อยๆ ”
“เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจไหม”
อ่านแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะบ่อยครั้งที่เรามัวแต่สนใจคำพูด/ความคิดของคนอื่นจนทำให้จิตใจของเราเศร้าหมอง ทั้งที่เราไม่ได้คิด ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า ต่อไปคงต้องฝึกปล่อยวางอย่างที่หลวงพ่อว่า จิตคงจะสงบมากขึ้น ... เพื่อนๆ ว่าจริงไหมคะ ?...
เห็นด้วยครับ
"เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจไหม"
อ่านเรื่องที่หนิงเอามาแบ่งปันแล้ว ทำให้นึกไปถึงอีกด้านหนึ่งของเรื่องดังกล่าว
นั่นคือ "การที่เรามองเห็นตัวเราในคนอื่น"
เรื่องที่เขียนเป็นเรื่องที่คนอื่นมอง และตัดสินเรา คาดหวังให้เราเป็นอย่างที่เขาเข้าใจ
ในทางกลับกันบ่อยครั้งเราเองก็เผลอไปตัดสินคนอื่นเช่นกัน ภายใต้คำตัดสินที่เรามีต่อคนอื่น หากพิจารณาให้ถ้วนถี่ ก็คือตัวตนของเราเองนั่นแหละ เพราะเรามองและตัดสินเขาผ่านทัศนะต่อชีวิต และมุมมองของการมองโลกของเรานั่นเอง
ชวนมองให้รอบด้านค่ะ...