คุณเอื้อและคุณประสาน-ครูนงมอบหมายให้ผมกับน้องชายขอบทำหน้าที่"คุณอำนวย"ในเวทีเรียนรู้โรงเรียนคุณอำนวยตั้งแต่เวลา9.30น.เป็นต้นไป
ผมดูกำหนดการแล้วสรุปว่า เราสองคนจะรับไม้ต่อจากครูราญ
ก็ขอหารือชายขอบและเพื่อนนักเรียนทุกคนต่อการเตรียมการบ้านของผมคือ
ตอนเริ่มในส่วนของเรา
1)ผมจะแนะนำศาสตร์โบราณว่าด้วยพลังของการตามรู้ลมหายใจ เข้า-ออก ซึ่งจะทำให้กายสงบ และจะเหนี่ยวนำให้ใจสงบไปด้วย
เราจะใช้การตามรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นแกนกลางในการเรียนรู้ครั้งนี้เพื่อให้เกิดการบอกเล่าและการฟังอย่างลึกซึ้ง
2)ผมจะขอให้มีการซักถามโดยผ่านกระบวนการตรึกจากข้างในเพื่อเน้นการเรียนรู้จากภายใน(โยนิโสมนสิการ)
การเรียนคราวนี้จึงใช้การถามน้อยที่สุด เน้นการเล่าจากความรู้สึกภายในและการฟังเพื่อซึมซับจากใจสู่ใจ
3)นักเรียนทั่วไปไม่ต้องบันทึก ยกเว้นนักเรียน"คุณลิขิต"ที่ได้รับมอบหมาย
ห้องเรียนจึงต้องการสมาธิ(ความใส่ใจ)แต่มีความผ่อนคลาย ไม่พูดคุยกันเองในช่วงฟัง
1)เริ่มจากขอเรียนรู้วิถีชีวิตของหมอพะยอม
เราจะฟังอย่างมีสมาธิตามรู้ลมหายใจเข้าออกให้ซึมซาบกับชีวิตการทำงานของท่าน ใช้ความคิดให้น้อยที่สุดในการรับรู้เรื่องราวของท่าน ประมาณ30นาที
2)ทีมร.พ.มหาราชเล่ากระบวนการเข้าไปส่งเสริมการเรียนรู้
ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องถาม รับรู้เรื่องราวทุกถ้อยคำ ทุกความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำ
3)ท่านผู้ว่าวิชม ทองสงค์ เล่าเรื่องของท่าน ใช้วิธีการเดียวกัน
4)ผู้เรียนทำกิจกรรมความคาดหวัง ข้อนี้ผมนึกไม่ออก น้องชายขอบและครูนงคิดกันไว้อย่างไรครับ
ภาคบ่าย เป็นการเล่าเรื่องของนักเรียนแต่ละคน ผมเคยตั้งหัวข้อว่า "ชีวิต การทำงาน และความใฝ่ฝัน"
ผมคิดว่าพวกเราต้องดำเนินชีวิต และการดำเนินชีวิตก็ต้องมีงาน
แต่เราไม่ได้ทำงานเพียงเพราะต้องการดำเนินชีวิตอย่างเดียว
เรามีความใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างงดงามด้วย
ผมอยากฟัง เรื่องราวของนักเรียนทุกคน เพื่อเป็นฐานในการเรียนรู้ ร่วมกันในระยะยาว
ถ้านักเรียน 42 คน ห้องเรียนก็ใหญ่เกินไป เวลาอาจไม่พอ สมาธิในการฟังก็อาจจะไม่ต่อเนื่อง
ช่วงต่อไปตามกำหนดการ เป็นการทำAARและภารกิจต่อเนื่อง
ผมยังนึกไม่ออกว่าจะจัดกระบวนการให้เชื่อมโยงกับเรื่องที่ผมคิด อย่างไร หรือต้องปรับเนื้อหาที่ผมคิดให้สอดคล้องกับเวลา จังหวะและความคาดหวังของผู้เรียน
รบกวนน้องชายขอบ ครูนงและผู้สนใจให้ความเห็นด้วยครับ
พระอาจารย์ภีม...
ขอบคุณพระอาจารย์ที่แนะนำมาครับ
ผมเห็นด้วยว่าห้องเรียนใหญ่ไป เราอาจใช้วิธีที่พระอาจารย์เสนอคือ เป็นห้องเรียนรวมและห้องเรียนเฉพาะ ดังนั้น เวทีแรกควรจะได้เรื่องที่แต่ละคนสนใจ/คาดหวังอยากพัฒนาตนเอง แล้วจับเป็นกลุ่มย่อยนัดหมายพบปะเรียนรู้กันเองโดยมีคุณประสานภายในกลุ่มย่อยเพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้กับกลุ่มใหญ่ บางคนอาจเข้าร่วมในหลายกลุ่มกิจกรรม(ตามความสนใจ)
core teamก็มาจากแกนประสานของแต่ละกลุ่มย่อย ขยายตัวออกไปเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่
หลักการสำคัญคือ เรียนรู้จากงานร่วมกันอย่างกัลยาณมิตร
เอาประสบการณ์จากงานมาลปรร.กันแล้วกลับไปทำ
ถ้าไม่กลับไปทำก็ไม่ใช่การจัดการความรู้ในความหมายที่แท้จริง
ผมเห็นว่าระบบของamwayเป็นผู้นำในเรื่องนี้มานานแล้วครับ
พระอาจารย์ภีม....เจ้าของสวนป่าแถวๆเสาธง
เห็นตรงกันครับว่าถ้าไม่กลับไปทำก็ไม่ใช่นักเรียนจัดการความรู้ครับ
ตามมาอ่านค่ะ (สำนวนอาจารย์เอก) ทั้งบันทึกของอาจารย์จำนงและอาจารย์ภีม
ด้านหนึ่งอยากรู้ว่าเขาทำอะไรกัน แต่อีกด้านหนึ่งรู้สึกว่าเป็นผู้สังเกตการณ์ และอยู่วงนอกอย่างสิ้นเชิง (อุตส่าห์สมัครเป็นนักเรียนทางไกลกับครูนงแล้ว)
แต่ดูแล้วก็น่าสนุก เผื่อจะเอาเทคนิคไปใช้กับนักศึกษาบ้าง (ทั้งกิจกรรมในห้องเรียนและนอกห้องเรียนค่ะ)