@Moui
ภูมิจิต ศิระวงศ์ประเสริฐ

เมื่อนักข่าวต่างประเทศวิำำำพากย์ รัฐมนตรีกระทรวงไอซีทีของไทย


ICT Minister

แปลไปก็เสียอรรถรส เรียนเชิญท่านๆ อ่านกันเองนะคะ

ที่มา : http://punkypinky.multiply.com/journal/item/8

 

An evening with the ICT Minister: The Unseen in Thailand

Jun 27, '07 2:46 PM
for everyone

The Unseen in Thailand
Sitthichai should have been banned

It was a very unusual evening. But it all started with uplifting spirits upon hearing that the ban on YouTube.com will be lifted when ICT Minister Sitthichai Pokaiyaudom proposes the deal to the Cabinet meeting next Tuesday.

At the Foreign Correspondent Club of Thailand, a number of staggering facts emerged from words that fell from the lips of Sitthichai Pokaiyaudom himself.
Besides the fact that he has banned YouTube in Thailand, from the press release of the event, it said that the ICT Minister never used the Internet and that he was an avid gun collector.

The evening started to get weird when he was rambling about himself, his education, where he lost his virginity, how he met his wife, how he hated to ban porn websites that actually might boost his sex life which he said didn’t exist. At times, he complimented on the white female, Amy and Thai female, Karuna Buakamsri. He even asked Karuna to fill up his glass of wine and mentioned that he’d go have some drinks with her later. By then, everyone in the room ( packed with foreign reporters) started to look at each other.

His deviant behavior didn’t stop at that. He started to make racy jokes insulting Chinese, Australian and Thais. Some laughed. But I found it not funny to have to listen to all those jokes.

Then he went on about how chlorine in the water destroyed his hair and made him bald.  He admitted he was an old fashioned and admitted that he hated to ban any website. That was why he intended to propose a lift on a ban on YouTube to the cabinet. He admitted his incompetence and a lack of sufficient knowledge of the Internet world.

One Thai woman who was brave enough to confront him and told him that we didn’t enjoy his racist and sexist joke saved the night. She saved us from great humiliation that this “Minister” has made. At least, one Thai reporter made it clear that we couldn’t stand it. I everyone applauded for her support. See another version of what happened at  http://gnarlykitty.blogspot.com

The sad part is he didn’t show any slightest eagerness to try to learn or understand what he’s doing or what he’s to supervise.
Here’re some excerpts from the interview:

Q: Since you admitted that you didn’t know much about the Internet, and it involves a lot of aspects of life not just engineering or pornography, have you sought opinions or advice  from people who are not engineers at the ICT Ministry to be on the board of censorship?

A: On the board of censorship, there’s none. It would be entirely on my judgement because I know. I interact with a great deal of people but the fact that my people are all engineers is because they’re from my University and they are the people that I trust most. And on the job, you need the people that you trust to do the work for you. But I welcome people to come and talk to me.

Q: How many people are on the board of censorship?
A: None. The ultimate decision is me alone.

Another interesting answer:
“But it’s really sad to have people who attacked me for the fact that I’ve done a very fair job. If I were not so broad minded, the situation of Internet censorship in Thailand would be so much worse.”

Q: How much money is spent on Internet censorship?
A: For Internet monitoring, it’s 1-2 per cent of the Ministry’s budget. Most people are volunteers. We have about 60 people help monitoring the internet and about 24 at night. But most of the offensive comments to other people happened after midnight.

Q: So what was that 15% of the budget you mentioned earlier?
A: The 15% of the money concerns all e-government activities that I have on banning websites.


It was a very interesting experience to witness such an evening. Personally, I think he was the most disturbing character that I have ever seen in my life. It is so embarrassing to see the “Minister” behaved in such a way in public, actually, in front of the foreign press members.

One reporter came up to me and asked if I was a Thai. She said she couldn’t stand this and it was the greatest humiliation for the country to have a Minister or a "teacher" (as Sitthicahi called himself) to act in such a way. And she was about to leave.

It’s sad. A true tragedy. I can’t wait for the general election!

 

จบแบบอายๆ 

หมายเลขบันทึก: 108999เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2007 23:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 14:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

อ่านแล้วจะบ้าตาย   น่าอายจริงๆ  เป็นไปได้ยังไงเนี่ย  อายครับ อาย    นี่คือคนที่ well-matured, highly respect person ของเราหรือเนี่ย   นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของประเทศด้อยพัฒนาจริงๆ  

คุณ P มาโนช คะ ท่านมิได้เป็นเพียงรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยนะคะ แต่ยังเป็นอาจารย์ผู้ประสาทวิชาด้วยค่ะ - เผื่อลืม

ครับ  ท่านเคยเป็น อธิการบดีหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ประวัติ ดร.สิทธิชัย โภไคอุดม  แต่นึกไม่ถึงว่าจะแสดงตัวตนของท่านอย่างนี้ออกมาในที่สาธารณะ หรือาจจะอยากให้ฝรั่งนึกว่าท่านเป็นคนง่ายๆ เป็นกันเอง แต่รสนิยมของท่านตกยุคจริงๆ เป็นรสนิยมแบบชายไทยยุคหนึ่ง ?

ผมไม่อยาก comment โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวท่าน เอาเพียงแต่จุดเดียวมาเป็นตัวแทนของทั้งหมด เลยขอเอาความคิดส่วนอื่นของท่านมาลงในที่นี้ด้วย ขอโทษด้วยนะครับที่ใช้เนื้อที่หน่อย

จาก ศ.ดร.สิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีที่มีคนไม่รู้จักมากที่สุด 

*ท่านเคยพูดว่าความภูมิใจที่สุดของท่านคือการมีภรรยาและลูกที่ดี...
     
      คือถ้าภรรยาเป็นบุคคลที่ไม่มีความเข้าใจ ไม่เสริมส่งการทำงานของเรา ผมว่ามันไม่มีความเจริญเพราะว่าคงจะมีปัญหาทางครอบครัวตลอด ภรรยาผมเขาเข้าใจว่าการทำงานหนักของผมมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ไม่เคยที่จะเป็นปัญหา ส่วนลูก ถ้าเรามีลูกที่ไม่ดี โอ้โห ผมตาย คงมีความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น ถ้ามีลูกที่ดี มีภรรยาที่เข้าใจและส่งเสริมกิจกรรมของเรา ถือเป็นโชคดีที่สุด เป็นความภูมิใจ ผมภูมิใจภรรยาเพราะว่าผมเลือกคนที่ถูกและภูมิใจที่เขาอุตส่าห์เลือกเรา ลูก ถ้าเรามีลูกที่ดีก็ภูมิใจอยู่แล้ว
     
      เรื่องนี้เทียบกับความภูมิใจในเกียรติประวัติการทำงาน ผมก็ต้องเอาครอบครัวมาก่อน ถ้าครอบครัวไม่มีความสุข การทำงานมีเกียรติประวัติแค่ไหนมันก็แค่นั้นเอง มันเป็นเศษกระดาษ ไม่มีความหมาย เกียรติประวัติในการทำงานจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมีครอบครัวที่ส่งเสริม และร่วมภูมิใจในเกียรติประวัติการทำงาน
     
      *ตัวท่านรัฐมนตรีถือว่าเป็นแฟมิลี่แมน?
     
      ผมเป็นแฟมิลี่แมนที่แย่ ตอนหนุ่มๆ ผมดื่มเหล้าหนักเพราะต้องคุยกับลูกน้อง แต่พออายุเยอะขึ้น ผมเลิกดื่มเหล้า กลับบ้านตรงเวลาทุกวัน ไม่เคยออกไปกินข้าวเย็นที่ไหน ไม่เคยออกไปเที่ยว ผมเป็นคนน่าเบื่อ แต่วิศวกรนี่น่าเบื่อกันทุกคน โดยธรรมชาติของวิศวกรเป็นคนที่ Conservative ฉะนั้น คู่สมรสจะต้องเป็นคนที่ชอบสมองของวิศวกรถึงจะทนได้ เพราะเป็นคนที่น่าเบื่ออยู่แล้ว
     
      *ท่านเป็นคนน่าเบื่อ?
     
      น่าเบื่อ ผมไม่ชอบไปงานปาร์ตี้ ไม่ชอบไปกินข้าวเย็นข้างนอก ไม่ชอบสังสรรค์กับคน อยู่บ้านผมก็นั่งอ่านหนังสือ นั่งคิดงาน นั่งสูบซิการ์ แค่นั้น เล่นกอล์ฟเสร็จก็กระโดดขึ้นรถกลับบ้านทันที ผมเล่นกอล์ฟเพื่อออกกำลังกายไม่ได้เล่นกอล์ฟเพื่อความสนุก พอมาเป็นรัฐมนตรีเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของผมข้อหนึ่งคือผมไม่สังสรรค์ (หัวเราะ) ครม.ชุดนี้ไม่เห็นมีใครสังสรรค์เลย
     
      *เหมือนท่านรัฐมนตรีจะเป็นคนคร่ำเคร่งกับงาน แล้วอย่างนี้มีมุมสบายๆ โรแมนติกบ้างมั้ยครับ
     
      ภรรยาบ่นว่าผมเป็นคนไม่โรแมนติกเลย ก็คงมีบ้างที่ผมคิดว่าโรแมนติกแล้วแต่คงน้อยมากในสายตาของคนอื่น (หัวเราะ) แต่ผมชื่นชมภรรยาผมที่เขาอดทน คงต้องเอาความดีของผมไปข่มสิ่งที่มันน่าขัดใจตรงนี้
     
      *ได้ยินว่าท่านเป็นคนใจร้อน?
     
      ใช่ ผมใจร้อนมากเลย ทุกอย่างต้องเสร็จเมื่อวาน นัดไหนผมไปก่อนเวลาเสมอ ถึงเวลาถ้าผมไม่ถึงแสดงว่าผมเบี้ยวแล้ว ผมไม่ไปแน่นอน ผมไม่เคยไปสายและไม่ต้องการให้คนอื่นมาสายด้วย เวลาผมสอนหนังสือ ใครเข้าห้องสายเกินหนึ่งนาทีผมล็อกห้องห้ามเข้า เวลาประชุมที่มหาวิทยาลัยถ้าผู้บริหารเข้าห้องสายเกินหนึ่งนาทีผมล็อกห้องไม่ให้เข้าเหมือนกัน ผมชอบการตรงต่อเวลาซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่ออีกเรื่องหนึ่งของผม ไม่ค่อยยืดหยุ่น ลูกน้องผิดใจมีเพราะผมมักจะปากร้าย ว่าเขารุนแรง แต่โมโหง่ายก็หายเร็วแล้วผมก็ไปขอโทษเขาอีกที เป็นสิ่งที่น่าจะปรับปรุง แต่นี่ก็แก่แล้ว ก็ดีกว่าเดิมเยอะ ใจเย็นขึ้น อาจจะเป็นเพราะเฉื่อยลงก็ได้
     
      *แล้วนอกจากวงจรไฟฟ้า ฮาร์ดแวร์ ท่านสนใจอย่างอื่นอีกบ้างหรือเปล่า
     
      เป็นเวลาเกือบสิบปีที่สนใจสะสมปืนและมีดดาบ ปืนที่ผมรายงานไปในบัญชีทรัพย์สินก็มีอยู่ 320 กระบอก ยิงปืนด้วย ผมหัดตอนแก่แล้ว ยิงช้า แต่ยิงแม่น เพื่อฝึกสมาธิด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมถึงชอบปืนอาจจะเป็นเพราะพ่อผมเป็นทหาร ภรรยาผมก็เป็นลูกสาวคนเดียวของทหาร ชีวิตผมก็เลยคุ้นกับเรื่องพวกนี้ ผมมาเริ่มยิงปืนจริงจังเมื่อสักสิบปีที่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้เลิกยิงแล้ว ไม่มีเวลา
     
      ส่วนดาบนี่มีไม่เยอะ แต่ผมก็ชอบสะสมดาบประเภทต่างๆ ดาบซามุไร ดาบไทย ดาบฝรั่ง ดาบทหารม้า ดาบของทหารนโปเลียน ดาบของทหารเรืออังกฤษ ดาบของทหารเรือฝรั่งเศส ดาบของทหารเรือโปรตุเกส ดาบของจีน สะสมไปเรื่อยๆ แต่ใช้ไม่เป็น
     
      *วันหยุดของคนที่เป็นรัฐมนตรีทำอะไรบ้างครับ
     
      วันอาทิตย์เวลาว่างผมตื่นขึ้นมา ภรรยาทำข้าวเช้าให้กิน เสร็จแล้วผมก็แต่งตัวเดินออกกำลังกายประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง เดินตามถนนสักยี่สิบกิโล ถือไม่เท้าไปอันหนึ่ง กลับมาก็กินข้าวเที่ยง อาบน้ำ แล้วนั่งหลับอยู่หน้าทีวี (หัวเราะ) ตอนเย็นก็กินข้าวเย็นแล้วก็นอน เท่านี้เอง ภรรยาชวนไปช็อปปิ้ง ผมก็ไม่ไป เบื่อ บอกแล้วไงว่าน่าเบื่อ
     
      *ทำงานมาจนมีเกียรติประวัติมากมาย ได้เป็นรัฐมนตรี มีอะไรอีกที่ท่านฝันว่าจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ
     
      จริงๆ ตอนหนุ่มๆ ผมฝันว่าจะเป็นนักวิชาการหรือนักประดิษฐ์ที่ได้รับรางวัลโนเบลหรือดังแบบเอดิสันซึ่งทำไม่สำเร็จ ตอนนี้มันแก่แล้ว คนที่จะทำอะไรได้ดีขนาดนั้นต้องทำช่วงประมาณอายุ 30-35 ตอนนี้ถ้าผมพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีไป ผมก็กลับไปทำงานวิชาการเหมือนเดิม ทุกวันนี้ผมพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว ตอนนี้ผมรู้ว่าขีดความสามารถของตัวเองมีแค่นี้ ผมก็พอใจในสิ่งที่ผมทำได้ ผมไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่อยากจะทำได้มากกว่านี้หรือมีความอิจฉาริษยาคนอื่นที่ทำได้มากกว่าผม ความมั่นคงด้านครอบครัวผมก็ทำไว้พอสมควร ไม่ได้มหาเศรษฐีอะไร แต่ก็พอใจ ลูกผมก็คงจะสบาย ก็...ก็ใช่แล้ว ไม่รู้จะเอาอะไรอีก
     
      *ท่านคิดว่าชีวิตคนคนหนึ่งควรจะไขว่คว้าอะไรไว้กับตัวบ้าง
     
      ไม่ควร อยู่เดี๋ยวเดียวก็ตาย ชีวิตไม่มีความหมายอะไรมากมาย ผมคิดว่าคนเรามีชีวิตด้วยความบังเอิญ ผมไม่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือเรื่องเหนือธรรมชาติ ผมเชื่อว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติอย่างเดียวไม่มีอย่างอื่น
     
      *แม้แต่การพบรักกับภรรยาท่านก็เป็นเรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ
     
      เป็นเรื่องบังเอิญ ไม่มีบุพเพสันนิวาสหรอก
     
      *อย่างนี้หรือเปล่าภรรยาท่านถึงบอกว่าท่านไม่โรแมนติกเลย
     
      (หัวเราะ) ใครจะไปเชื่อบุพเพสันนิวาส เป็นไปได้ไง แล้วการที่สอนเยาวชนว่าเราทำบุญเพื่อชาติหน้านี่ผมว่าเป็นการสอนที่ผิดวิธี เราควรจะสอนว่าทำบุญเพื่อชาตินี้ เพราะชาติหน้าเป็นการสอนที่ไร้ความหมาย เราก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนเราเป็นอะไร ฉะนั้น ชาติหน้าถึงจะเกิดใหม่จริงเราก็เป็นคนอีกคนหนึ่งซึ่งไม่รู้เรื่องชาตินี้ แล้วจะทำเพื่อชาติหน้าไปทำไม คือเราต้องเรียน Quantum Mechanic ให้เยอะพอ เราจะรู้ว่าชีวิตของคนเราเป็นเรื่องของความบังเอิญ แล้วชีวิตมันเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น มันไม่ได้ยุ่งยากมากมายอะไร ถ้าอยู่ในสภาวะแบบนี้ก็ต้องมีชีวิตเกิดขึ้นแน่นอน
     
      *มนุษย์เป็นเพียงแค่ผลผลิตของความบังเอิญ...เท่านั้น
     
      ในจักรวาลของเราทุกอย่างบังเอิญหมด ทุกอย่างวัดได้ว่ามีความน่าจะเป็นเท่าไหร่ตามหลัก Quantum Mechanic ทางฟิสิกส์ แล้วทุกอย่างในโลกนี่เป็น Quantum Mechanic ทั้งหมด ถ้าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าไม่ต้องมาสร้างมนุษย์ พระเจ้าสร้างแค่ Quantum Mechanic อย่างเดียวพอ มนุษย์ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
     
      *คิดถึงบั้นปลายชีวิตของตัวเองบ้างหรือเปล่าครับ
     
      ผมพร้อมจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่ได้วางแผนอะไรไว้ ตายไปแล้วผมไม่ต้องการให้คนที่อยู่ข้างหลังมาทำงานศพอะไรให้ผม คือผมกับภรรยามีที่อยู่ประมาณร้อยไร่แถวเขื่อนคลองท่าด่านที่นครนายก มีต้นไม้เยอะ ผมก็เลือกต้นมะฮ็อกกานีไว้แล้ว บอกว่าต้นนี้นะ ถ้าตายก็ขุดหลุมเลย เอาผ้าขาวมัดพอไม่ต้องใส่โลงศพ ขุดหลุมลึกสองเมตรฝังผมลงไป ผมเตรียมปืนไว้กระบอกหนึ่งพร้อมทั้งใบอนุญาตด้วย ให้ฝังลงไปพร้อมผมกับลูกกระสุนเพราะผมชอบปืน แล้วถ้ามีปืนแต่ไม่มีลูกกระสุนแล้วจะมีประโยชน์อะไร มีปืน มีกระสุนแล้วต้องมีใบอนุญาตด้วยไม่อย่างนั้นเป็นปืนเถื่อน
     
      ผมเตรียมแผ่นศิลาที่จะอยู่ที่หลุมศพผมไว้แล้วด้วย สลักบทกวีของ Robert Frost ที่ผมชอบมาก บทกวีนี้ชื่อว่า The Road Less Traveled แปลเป็นไทยคร่าวๆ ว่า 'เราเดินทางมาถึงทางสองแพร่ง ทางหนึ่งเป็นทางเรียบมีคนผ่านเยอะ อีกทางหนึ่งเป็นทางรกเพราะคนไม่ค่อยผ่าน ทางที่ผมเลือกเดิน ผมเลือกเดินทางที่คนไม่ค่อยผ่าน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในชีวิตผม'

คุณมาโนชคะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลอีกมุม (ผ่านมุมมองของสื่อมวลชนไทย - ต่างกะสื่อฝรั่งเสียนี่กระไร) ตอนนี้น้ำหนักความเชื่อของดิฉัน เอียงไปทางสื่อนอกค่ะ หลังจากได้มีโอกาสทำงานเพื่อชาติหลายหน เหะๆ สงสารประเทศไทยจัง

แปลหน่อยก็ไม่ได้ ใจร้ายจัง...

^_^ 

จะว่ากันให้เป็นธรรม เราคงตัดสินใครด้วยบทความอันใดอันหนึ่งคงไม่ได้หรอกครับ งานของกระทรวงใดๆ ก็ตาม ก็มีความกดดัน มีปัญหาต่างๆ มากมายที่จะต้องแก้ไข ในบางกระทรวง ก็มีปัญหาหมักหมมมานาน

สำหรับกระทรวงนี้ เกือบทุกอย่างที่ทำมา ถ้าเป็นผม ผมจะทำอีกแบบหนึ่ง

ถ้าผม "เลือกได้" นะครับ ผมคงเลือกคนที่เข้าใจเรื่องงานไอซีทีมาดูแลกระทรวง ผมอยากเห็นทิศทางการพัฒนาแทนการประชาสัมพันธ์รายวัน อยากเห็นแผนงานว่าไอซีทีช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างไร อยากให้ใช้คนให้เป็น -- แต่ผม "ไม่ได้เลือก" ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท