มูลนิธิสื่อเพื่อเยาวชน
ว่าที่ร้อยตรี จิรศักดิ์ กรรเจียกพงษ์

สามีแหล่งแพร่เชื้อเอดส์ แนะสามีใส่ถุงยางหลับนอนกับภรรยา


สามีแหล่งแพร่เชื้อเอดส์ แนะสามีใส่ถุงยางหลับนอนกับภรรยา
5 กรกฎาคม 2550 03:35 น.

รมว.สาธารณสุข สอนมวยสามีใช้ถุงยางอนามัยกับภรรยา ลดอัตราติดเชื้อเอชไอวีในครอบครัว หลังพบผัวเป็นแหล่งแพร่เชื้อไม่ต่างจากโสเภณีสมัยก่อน ระบุผู้ติดเชื้อรายใหม่ 40% เป็นกลุ่มแม่บ้าน และในจำนวนนี้ 60% ต้นเหตุไว้ใจพ่อบ้าน ลุยจัดเตรียมถุงยางในโรงแรม “อภิสิทธิ์” ชูปัญหาเอดส์เป็นวาระประชาชน

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่อาคารอิมแพ็ค เมืองทองธานี สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานบริการโครงการกองทุนโลก และองค์การอนามัยโลก ประเทศไทย จัดสัมมนาระดับชาติเรื่อง “โรคเอดส์ ครั้งที่ 11 เอดส์ : ก้าวต่อไปในยุคเศรษฐกิจพอเพียง” ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคมนี้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,000 คน

  น.พ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข กล่าวเป็นประธานเปิด พร้อมบรรยายพิเศษเรื่อง “เอดส์ : ก้าวต่อไปในยุคเศรษฐกิจพอเพียง” ว่า ในปี 2550 คาดจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,936 ราย ซึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสะสมประมาณ 1,102,628 ราย เสียชีวิตแล้วประมาณ 558,895 ราย และยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 546,578 ราย จึงไม่อยากให้มองเรื่องโรคเอดส์เป็นสิ่งไกลตัว เพราะจากรายงานพบว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ 40% เป็นกลุ่มแม่บ้าน และในจำนวนนี้ 60% ติดมาจากสามี

  ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะรณรงค์สร้างค่านิยมให้ใช้ถุงยางอนามัยในครอบครัว หากไม่ต้องการมีลูก ก็ควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา ซึ่งไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ให้เกียรติหรือไม่ไว้วางใจ แต่เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ทั้งสองฝ่าย และจะประสานโรงแรมให้จัดเตรียมถุงยางอนามัยไว้บริการลูกค้า

 “ไม่รู้ว่าการที่ผมเสนอแนวคิดนี้จะทำให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า แต่ปัจจุบันผู้ชาย 1 คน สามารถแพร่เชื้อให้ผู้หญิงได้มากมายไม่ต่างจากโสเภณีในสมัยก่อน สามีเป็นแหล่งของการแพร่เชื้อ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งทำความเข้าใจกับสามีในเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการตัดสินใจ ที่ผ่านมาผู้หญิงส่วนใหญ่จะตามใจสามี ไม่สามารถบอกให้ฝ่ายชายใช้ถุงยางอนามัย วิธีนี้น่าจะช่วยลดอัตราการติดเชื้อจากสามีสู่ภรรยาได้” น.พ.มงคล กล่าว

 น.พ.มงคล กล่าวอีกว่า สถานการณ์โรคเอดส์ในกลุ่มเยาวชนก็น่ากังวลมาก อายุของผู้ติดเชื้อเอชไอวีลดน้อยลงเรื่อยๆ แสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศ จากการสำรวจในปี 2549 พบว่าวัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุ 17 ปี หรือน้อยกว่านั้น และ 40% มีเพศสัมพันธ์แบบฉาบฉวยทั้งชายและหญิง โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ใช้ถุงยางอนามัยเพียง 30% ซึ่งสาเหตุที่วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นเพราะเยาวชนเข้าถึงสื่อยั่วยุได้ง่ายขึ้น วัยรุ่น 1 ใน 3 ดูเวบไซต์โป๊ อีก 2 ใน 3 ดูวิดีโอ/วีซีดีโป๊ วัยรุ่นชายดูมากถึง 72% และกลุ่มเสี่ยงที่น่าจับตามองคือ กลุ่มชายรักชาย ที่มีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว

 รมว.สาธารณสุข กล่าวด้วยว่า นโยบายสำคัญที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาเอดส์คือ การป้องกัน ในปีนี้ได้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักแก้ปัญหา ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ผู้ป่วยไทยได้รับยาต้านไวรัสกว่า 1 แสนราย มากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากบราซิล ซึ่งการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ในปี 2551 จะเน้น 4 แนวทาง คือ 1.รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงภัยร้ายของโรคเอดส์ ให้ความรู้ป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมเสี่ยง เน้นความเข้าใจ ทักษะการป้องกันและปฏิเสธพฤติกรรมเสี่ยง

 2.พัฒนาระบบการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษา เสริมสร้างทักษะชีวิตในการป้องกันตนเองจากพฤติกรรมเสี่ยงทั้งยาเสพติด การพนันและโรคเอดส์ 3.กระตุ้นให้สังคมเห็นถึงปัญหาโรคเอดส์ และเข้ามามีส่วนร่วมป้องกัน แก้ไขปัญหา และ 4.การดูแลรักษาผู้ป่วยเอดส์และผู้ได้รับผลกระทบจากเอดส์ จะต้องจัดบริการต่างๆ อย่างครบวงจร ทั้งการรักษา ระบบสวัสดิการสังคม ซึ่งปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยรายใหม่เข้ามารับยาต้านไวรัสเพิ่มขึ้นเดือนละ 2,000-3,000 ราย

 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวบรรยาย “แนวคิด ทิศทาง นโยบายเรื่องเอดส์“ ว่า ขณะนี้ไทยประสบความสำเร็จอย่างมากในการป้องกันปัญหาโรคเอดส์ แต่ขออย่าให้ตกเป็นเหยื่อของความสำเร็จ เพราะปัจจุบันสถานการณ์โรคเอดส์เปลี่ยนแปลงไป โดยกลุ่มผู้ติดเชื้อจากเดิมที่จำกัดกลุ่มเสี่ยงเฉพาะในหญิงบริการเข้าถึงการแก้ปัญหาได้ง่าย กลายเป็นกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มชายรักชาย หรือในกลุ่มสามี ทำให้แนวทางวิธีป้องกันต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย

 นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์มีแนวนโยบายแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ โดยเสนอให้เอดส์เป็นวาระประชาชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมผลักดันให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งการรณรงค์ยังเป็นหัวใจสำคัญ ส่วนกระทรวงสาธารณสุข คงไม่ใช่พระเอกที่เข้ามาแก้ไขปัญหาเพียงคนเดียว ต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนไปพร้อมกับกลไกการทำงานระดับชาติ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่วางแผนกลยุทธ์ และให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ขับเคลื่อน และต้องเปลี่ยนกลไกวิธีคิด ควรยึดหลักพอเพียง ไม่สุดโต่ง และเปิดใจให้กว้าง

   ทั้งนี้ การดูแลผู้ติดเชื้อมี 2 ด้านที่สำคัญคือ การดูแลสิทธิและการเข้าถึงการรักษา ซึ่งไทยได้บังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา หรือซีแอล เชื่อว่าจะยังมีความขัดแย้ง ต้องต่อสู้กันอีกยาวนาน จึงไม่ควรผูกติดกับมาตรการใดมาตรการหนึ่ง ควรเน้นการร่วมมือระหว่างประเทศในระดับภูมิภาคอย่างจริงจังมากขึ้น โดยไทยขอความร่วมมือในเวทีอาเซียนผลักดันและสร้างอำนาจต่อรองซื้อยาที่มีมาตรฐาน และมีระบบแจกจ่ายยา เหมือนที่ไทยได้ทำข้อตกลงกับมูลนิธิคลินตัน ซึ่งราคายาที่ได้อาจจะถูกกว่าทำซีแอล

 “การมาร่วมสัมมนาเพื่อแสดงเจตจำนงยกเรื่องเอดส์เป็นวาระประชาชน เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของพรรคการเมืองที่จะได้รับการเลือกตั้งต่อไป เชื่อว่าน่าจะมาจากรัฐบาลผสมค่อนข้างสูง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

 นายมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน กล่าวว่า การมียารักษาโรคไม่ได้หมายถึงทุกคนจะได้ยา เช่น แอฟริกาใต้มีผู้ติดเชื้ออายุเฉลี่ย 15 ปี มีอายุขัยเฉลี่ย 37 ปี เพราะส่วนใหญ่เป็นเอดส์ แต่ไม่มีโอกาสรับประทานยาที่มีราคาแพงมาก ทั้งนี้ การทำซีแอลไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะการทำซีแอลหมายถึงความพ่ายแพ้ในการป้องกันเอดส์ และไม่สามารถซื้อยาได้ แต่หากซื้อได้ในราคาถูกลง ก็ควรนำงบที่ประหยัดได้มาใช้รณรงค์ป้องกัน

ที่มา : http://www.komchadluek.net/2007/07/05/a001_125756.php?news_id=125756<hr width="100%" size="2" />

หมายเลขบันทึก: 108743เขียนเมื่อ 5 กรกฎาคม 2007 09:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 เมษายน 2014 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท