ก็อยากจะตั้งชื่อเรื่องให้มันเป็น Korain style ซะหน่อย เดี๋ยวจะไม่ In trend อย่างใครๆในสังคมยุคแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเขาเป็นกัน แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนป่วยใจอีกแล้วล่ะค่ะ
อย่างที่บางคนรู้นะคะ ฉันเป็นครู(พยาบาล)จิตเวช และตอนนี้ก็กำลังนิเทศนักศึกษาอยู่ที่หอผู้ป่วยแห่งหนึ่ง เรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันฟังจึงเป็นเรื่องของผู้ป่วยที่ฉันไม่ได้มีเจตนาจะนำความลับของผู้ป่วยมาเปิดเผย แต่ฉันอยากให้ทุกคนรู้ว่า โลกของพวกเขาที่น้อยคนจะได้สัมผัสนั้นมันเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือเราจะเรียนรู้จากพวกเขาได้อย่างไร
คุณวุ่นวาย เป็นชายหนุ่ม อายุ 30 ต้นๆ ผิวขาว รูปร่างหน้าตาดี สะอาดสะอ้าน เขาคงจะดูดีกว่านี้ถ้าเขาไม่เดินไปเดินมา พูดมาก พูดเรื่อยเปื่อย และตะโกนร้องเพลงทันทีที่เขานึกอยากร้อง....นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่กำลังรับการบำบัดอยู่นั่นเอง
อันที่จริงแล้วเขาเป็นคุณพ่อของลูกชายวัยกำลังน่ารัก 2 คน แต่ชีวิตครอบครัวและชีวิตการทำงานของเขาต้องมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนหนึ่งเพราะความสัมพันธ์ของเขากับคุณเย็นชาค่ะ
คุณเย็นชาคือภรรยาของคุณวุ่นวาย ทั้งสองคนแต่งงานกัน มีลูกด้วยกันโดยคุณวุ่นวายทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และคุณเย็นชาเป็นแม่บ้าน ดูแลลูกๆ สิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงควาสงบสุขของครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้คือ "หนี้สิน" ค่ะ ฉันคงไม่จำเป็นต้องระบุหรอกนะคะว่า หนี้สินของครอบครัวนี้เกิดจากอะไร เพราะถ้าจะหันมองรอบตัวแล้ว คนเราทุกวันนี้ก็มีหนี้สินติดตัวกันแทบทั้งนั้น(ทั้งหนี้ที่สร้างเองและหนี้ที่คนอื่นสร้างให้) แต่การสร้างหนี้และการต้องชำระหนี้ของคุณวุ่นวายนั้นเป็นที่มาของเรื่องนี้ค่ะ
วันนี้ฉันเห็นโอกาสเหมาะ จึงบอกคุณวุ่นวายว่า พฤติกรรมของเขานั้นเป็นอย่างไร เพื่อต้องการให้เขาได้ประเมินตนเองและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม เขานิ่งฟังฉันและบอกว่า "ผมยอมรับว่าผมไม่นิ่งจริง มันคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้วุ่นวายไปหมด" แล้วเขาก็เริ่มพูดเรื่องปัญหาหนี้สิน ฉันฟังเขาและบอกว่า การคิดทีละเรื่องและเลือกเรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องที่เฉพาะหน้าที่สุดน่าจะทำให้เขาคิดแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น และวุ่นวายน้อยลง....เราคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงบอกฉันว่า "แฟนผมไม่เคยพูดดีๆกับผมแบบนี้เลย เราทะเลาะกันเรื่องหนี้สินบ่อยมาก ผมอยากให้เขาช่วยผมหาเงินใช้หนี้แต่เขาก็ไม่เคยสนใจ ผมเครียดทุกวัน กลับบ้านก็มาทะเลาะกับแฟน เขาด่าผมทุกวัน ยิ่งผมเครียดจนทำงานไม่ได้เขาก็ยิ่งไม่สนใจความรู้สึกผมเลย"
ตอนที่พูดเรื่องนี้ สีหน้าของคุณวุ่นวายดูเป็นคนละคนกับตัวเขาเวลาที่วุ่นวาย และจากคำพูดประโยคนี้เองที่ฉันคิดว่ามันสะท้อนถึงความสำคัญของ "ความสัมพันธ์ในครอบครัว" ได้ดีทีเดียว
ผู้ป่วยจิตเวชหลายคนต้องกลับเข้ามาอยู่โรงพยาบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจาก เข้ากับคนในครอบครัวไม่ได้ นั่นเพราะสิ่งที่เขาได้รับคือ การดุด่า พูดจากระทบกระแทก ประชดประชัน หรือแม้กระทั่งการนิ่งเฉย เย็นชาไม่ใส่ใจ แล้วจะไปหวังอะไรกับการรับฟัง ปลอบโยน หรือให้กำลังใจ
ฉันมองว่าความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในครอบครัวผู้ป่วยจิตเวช แต่มันกำลังจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆในหลายครอบครัวไปเสียแล้ว....หลังบ้านฉัน ยายด่าหลานตัวเล็กดังลั่นทุกวัน โง่บ้าง ช้าบ้าง ไอ้เด็กเป-ตบ้าง แล้วแต่จะนึกได้ เด็กวัยรุ่นคุยโทรศัพท์กับพ่อกับแม่ไม่เคยมีคำลงท้าย คุยแค่บอกความต้องการของตัวเองแล้วก็วาง แม้กระทั่งภรรยาที่ด่าทอสามีต่อหน้าลูกทุกวัน หรือสามีที่บอกตัวเองว่าทำงานเหนื่อยจนไม่เคยมองหน้าภรรยาและลูกเลยเวลากลับเข้าบ้าน
แล้วอย่างนี้....ความรักความผูกพันจะเกิดจากอะไร? และเกิดขึ้นตอนไหน? คนที่เผชิญกับความสัมพันธ์แบบนี้จึงเปราะบางและป่วยใจได้ง่าย ส่วนคนที่ยังอยู่ได้โดยไม่ป่วยก็จะชินชา และรับเอาไปปฏิบัติกับคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว จนเป็นวงจรแห่งความหยาบกระด้างที่ยากจะเยียวยา
หันมาใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างกันบ้างนะคะ พูดดีทำดีต่อกัน อิ่มเอมใจทั้งสองฝ่าย รู้จักให้อภัย ลดละทิฐิที่กองทับถมกันบ้าง
ฉันเองไม่ใช่คนอ่อนหวานอะไร แต่ไม่เคยพูดหยาบคายด่าทอใคร พยายามควบคุมสติอารมณ์เสมอเมื่อโกรธ ไม่ให้วาจาที่ขาดสติไปทิ่มแทงใคร ถ้าไม่ไหวก็ขอหลบเลี่ยงไปสักครู่ ถ้าพลาดไปแล้วก็ต้องขอโทษหรือไม่ก็ทำอะไรเพื่อเป็นการไถ่โทษ ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครมาชื่นชม ฉันแค่อยากอยู่อย่างสงบทั้งภายในและภายนอก...ก็เท่านั้นเองค่ะ
ไม่มีความเห็น