Theme Park Democracy : สินค้าตัวล่าสุดที่ผลิตจากการจับแพะชนแกะของเซลส์แมนขายความรู้หัวเหม่ง : อาหารสมองที่ต้องบริโภคเพื่อการเอาชีวิตรอดในยุค "ตลาด" ยึดครองโลกเกือบทุกตารางนิ้ว


ในอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบนี้ รัฐชาติแบบเดิม ๆ ถูกริดรอนอำนาจอธิปไตยแทบหมดสิ้น แต่รัฐชาติส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว จึงมีการกระทำแบบ "ปองโกลสเชี่ยน" โดยรัฐชาติปรากฏออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะจากประเทศที่ไร้อำนาจต่อรองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่นการสมาทานวิธีการพัฒนา หรือการแก้ปัญหาวิกฤติของชาติจากองค์การโลกบาลที่อยู่ในอาณัติของ "ตลาด" มาบังคับใช้กับประชาชนของตน

วันนี้  ผมมีคำใหม่มาจั่วหัว  โดยคิดในใจคนเดียวว่า  "น่าจะดึงดูดผู้ชมให้แวะเข้ามาดูได้บ้าง  ผมจะได้เปิดการขายสินค้าตัวใหม่ที่เกิดจากการแล่นแร่แปรธาตุของผมเองนามว่า "Theme Park Democracy" ซึ่งผมอวดอ้าง "สรรพคุณ" ไว้ในใบปิดโฆษณาว่า "คนในโลกยุคนี้ต้องบริโภค  ไม่งั้นเอาชีวิตไม่รอดในยุคที่ "ตลาด" ครองโลกแน่นอน...ครับ  มันเป็นคำโฆษณา...ต้องเวอร์อยู่แล้ว...จะมีสรรพคุณดังว่าหรือไม่  ไม่ลองก็ไม่รู้  ขึ้นอยู่กับว่า  ระหว่างการรักษา "ฟอร์ม" ไม่ให้ถูกหลอก  กับ "ยอมถูกหลอกกเพื่อได้เรียนรู้" ท่านจะเลือกเอาอะไรหละ?

ที่มาที่ไปของการ "สร้างสินค้า" ตัวนี้  ผมไปได้ไอเดียจากนายบาร์เบอร์ที่ผมเคยกล่าวถึงแกแล้วในบันทึกก่อนหน้านี้ของผม นายบาร์เบอร์แกกล่าวถึง Theme Park ในเชิงสังคมว่า "ทุกวันนนี้มนุษย์เราถูกผลักใสเข้าไปในสวนสนุกแบบ theme park มากกว่าที่จะถูกให้เรียนรู้ในธรรมชาติ" น่าจะประมาณนี้นะครับสำหรับเนื้อความ  ผมเลยได้เอาเดียเอาคำว่า theme park ของแกมาผลิตเป็นสินค้าชิ้นใหม่ทางด้าน "การเมือง" จนกระทั่งได้สินค้าที่ผม (คนเดียว) ภูมิอกภูมิใจในความช่างคิดของตัวเองเป็นหนักเป็นหนานามว่า "Theme Park Democracy" ผมก็ไม่รู้ว่าผมภูมิใจกับอะไรของมัน  ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่แน่ใจว่า ไอ้สินค้าตัวใหม่นี้   มันคืออะไร  มันใช้แก้ปัญหาอะไร  และมันจะใช้อย่างไร  แต่ด้วย "วิญญาณ" นักขายที่ดี  รู้ไม่รู้  ก็ต้องเสียงดัง  และมั่นใจเอาไว้ก่อน  ไม่งั้นขายไม่ออกแหง ๆ ใช่ไหมครับ...ลองติดตามดูว่าผมจะพยายามขายอย่างไร?

สินค้าตัวนี้ผมไป "แสดงข้างทาง" (Roadshow) มาบ้างแล้วอย่างน้อยก็สองแห่ง  แห่งหนึ่งก็แถวบ้านน้อง OTTO ศิษย์รักของ "อาจารย์ย่ามแดง"  ผมไปแพลมถึงสินค้าตัวนี้ให้คนแถวนั้นว่า


อเมริกายังจะชูโรงเรื่อง "อิสรภาพ" และ "ประชาธิปไตย" ซึ่งมักจะได้ผล...นักบริโภค (ผู้โง่เขลา) จากทุกมุมโลกมักจะยินดีปรีดาไปด้วยเสมอ...แต่ข้อกล่าวหาของผมคือ...อเมริกาคือประเทศที่กระทำอนาธิปไตยต่อคนของตนเองและต่อชาติอื่น ๆ มากที่สุด (อันนี้ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหา) ผมจึงตีความต่อไปว่า...ไอ้นิตยสารที่พิมพ์เพื่อเชิดชูผู้หญิงหนะ...มันเป็นเรื่องที่ "คุย" กันมาเรียบร้อยแล้ว  และมันก็เต็มไปด้วย "เหตุผลทางการเมือง" เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอะไรสักอย่าง...นี่ถ้าบอกว่าเป็นนิตยสารที่ตีพิมพ์ในช่วงไหน...ก็จะโยงได้ชัดเจนว่า...เขาต้องการจะสร้างความชอบธรรมในเรื่องอะไร...

ฉะนั้น...อย่าหลงคารม "มะริกัน" เป็นอันขาด...ไม่งั้นท่านจะกลายเป็นเพียง "ผู้บริโภคสมองกลวง" ในอนาคตอันใกล้นี้...มันเป็นเส้นทางแห่งการเปลี่ยน "ร้านไก่ทอดเคนตั๊กกี้ และร้านราชาเบอร์เก้อร์" ให้กลายเป็นวิหารแห่งประชาธิปไตยนะท่าน...เขากำลังจะทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็นแค่สวนสนุก theme park...เพื่อเขาจะได้ทำการอนาธิปไตยแก่ชาติรัฐทั้งหลายทั่วโลกได้อย่างไม่มีใครทันสังเกตไงครับ...เพราะมัวแต่รื่นเริงกัน theme park democracy กับ วิหารแห่งประชาธิปไตยอันใหม่


และอีกแห่งหนึ่งก็แถวบ้านของคุณ Conductor ผมร่ายไว้ตรงนี้ค่อนข้างยืดยาวใจความว่า


ทำไมผมถึงต้องทำอย่างนั้น  ในโลกที่ "ตลาด" ยึดอำนาจอธิปไตยไปจากชาติรัฐทุกที่ที่มันบุกเข้าไป  "ตลาด" น่าจะเป็น Leviathan ตัวจริง Hobbes คงผิดมาตั้งแต่แรกที่คิดว่า "รัฐ" คือ อสูรใหญ่ที่ทรงอำนาจตัวนั้น  ผู้นำธุรกิจที่สามารถ "รอดชีวิตมาได้อย่างสง่าผ่าเผย" จากการถูกจับ "เหวี่ยงไปมา" "บดขยี้" "กระทืบ" ของตลาดที่ "ป่าเถื่อน" อย่างเช่นทุกวันนี้  การกราบแทบเท้าก็คงน้อยเกินไปที่จะแสดงออกถึงการยอมรับ  ในกรณีนี้  คงไม่รวม "ผู้นำธุรกิจ" ที่มีความฝันแบบ Faustian นะครับ 

ทุกวันนี้เราโลกแทบจะหมดหวังในการให้รัฐชาติเป็นผู้นำประชาธิปไตยมาสู่มวลมนุษย์  เพราะรัฐชาติเองก็ไม่ยังหนีไม่พ้นการจับโยนไปมาโดย "ตลาด" รัฐชาติทำได้อย่างมากก็แค่นำ "Theme Park Democracy" มาสู่ประชาชน  หลังจากที่ "พลเมือง" ถูกแปลงสภาพเป็น "ผู้บริโภค" ไปเกือบทั้งหมด

โลกคงต้องฝากความหวังไว้กับ "ผู้นำธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์" เหล่านี้  ในการนำพาสังคมไปสู่สันติ  คนเหล่านี้คือ "อัศวิน" แห่งศตวรรษที่ 21 ตัวจริงที่จะคืนอิสรภาพของพลเมืองแก่ประชาชน  การต่อสู้ด้วยความรู้ของคนเหล่านั้น  เป็นหนทางเดียวที่จะนำมาซึ่ง "กฏหมายสีน้ำเงิน" อีกครั้ง

จะพักไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ  ตรงที่  เส้นทางการแสดงสินค้าของผม  เอาไว้จะมาเล่าต่อว่า  จริง ๆ แล้วมันคืออะไร  สรรพคุณอย่างไร  ใช้อย่างไร  หลังจากที่ผมไปเดินเล่นก่อนนะครับ  เห็นไหมหละครับ  การขายของก็อย่างนี้แหละ...เปิดหมดทีเดียว...ใครเขาจะอยากซื้อ...แต่ต้องมั่นใจว่า...สินค้าของเราหาคนเลียนแบบไม่ได้นะครับ...ในกรณีนี้  ผมมั่นใจเป็นอย่างมากว่า..."คงจะหาคนเลียนแบบหรือผลิตมาขายเป็นคู่แข่งได้ยากส์"...

วันนี้มาต่อในประเด็นที่ค้างไว้เมื่อวันก่อนครับ  หลังจากที่ผมไปเดินเล่นแถวร้านน้ำชาในตลาดปากพนังแล้ว  ผมเลือกที่จะเขียนต่อบันทึกเก่า  แทนการเปิดบันทึกใหม่ครับ  ลองมาดูว่า  ผมมีอะไรจะมาโม้อีกเกี่ยวกับ Theme Park Democracy

อุดมการณ์ทางการเมือง "สีรุ้งสดใส" ตัวนี้  ในบริบทของโลกมีจุดเริ่มต้นตั้งกะสมัยที่การเยือนครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง "คู่หู" สงครามเย็นของโลกในช่างต้นของทศวรรษที่ 1990 เรื่องนี้นักวิชาการ "ผู้เคร่งขรึม" เรียกว่าเป็น "จุดเริ่งต้นของโลกหลังสังครามเย็น"  แต่เซลส์แมนอย่างผมคงไม่ใช่ประเภทนี้  มันดูแห้งเหี่ยวเกินไปในการ "นำเสนอการขายของแปลก" ตัวนี้  นับจากการพบกันระหว่าง "คู่หูบันลือโลก" แล้ว  โลกเราก็เริ่มถูกครอบครองด้วย "ประชาธิปไตยหลากสี" นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ในอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบนี้  รัฐชาติแบบเดิม ๆ ถูกริดรอนอำนาจอธิปไตยแทบหมดสิ้น  แต่รัฐชาติส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว  จึงมีการกระทำแบบ "ปองโกลสเชี่ยน" โดยรัฐชาติปรากฏออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราว  โดยเฉพาะจากประเทศที่ไร้อำนาจต่อรองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  เช่นการสมาทานวิธีการพัฒนา  หรือการแก้ปัญหาวิกฤติของชาติจากองค์การโลกบาลที่อยู่ในอาณัติของ "ตลาด" มาบังคับใช้กับประชาชนของตน

สัญชาติแบบเดิม ๆ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏในเอกสารแสดงตนของผู้คนเท่านั้น  ผู้คนหลังจากถูกแปลงจากพลเมืองไปเป็นผู้อาศัยเรียบร้อยแล้ว  ก็เข้าไปสังกัดกับ "รัฐ" แบบใหม่ที่ไร้ "ชาติ" สัญชาติต่าง ๆ เหล่านั้นยกตัวอย่างเช่น SONY,  LV, UCLA, จุฬาฯ, ธรรมศาสตร์, สตาร์บั๊ค และ ยี่ห้อของสินค้าชื่อดังทั้งหลายที่ "ผู้อาศัย" เร่งหามาบริโภคเพื่อสร้างความเป็นตัวตนขึ้นมาใหม่  หลังจาก "ตัวตน" ที่เคยสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์โดยอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของตลาดเพราะมัน "ทำลายชีวิต" โดยไม่สร้างความเจ็บปวดที่ชื่อว่า "โฆษณาชวนเชื่อ"  ที่แพร่กระจายอยู่ในสินค้าทุกชนิด  นับตั้งแต่ อุดมการณ์ทางการเมือง  การศึกษา  เสื้อผ้า  อาหาร  เครื่องใช้ไฟฟ้า  ไปจนถึงความเชื่อในส่งเหนือธรรมชาติ

ชักจะหนักแล้วนะครับ  การเสนอการขายจุดนี้  ผมจะไปพักอีกรอบ  กลับมารอบหน้า  ค่อยมาตามกันต่อว่า  ผมจะเอาอะไรมาโม้ต่ออีก...

ครับ...ว่างเว้นไปหลายวัน  วันนี้จะมาต่อให้จบ  ไม่จบก็ต้องจบหละครับ  เพราะชักเห็นอาการแล้วว่า...ทั้งคนขายและคนซื้อท่าทางจะงงไม่แพ้กัน  ในตอนจบนี้ผมคงต้องสรุปแล้วหละว่า  ทำไมการเมืองทุกวันนี้ผมจึงกล่าวหาว่าเป็น Theme Park Democracy...ลองพิจารณาดูช็อตเด็ดของผมนะครับ  ว่าจะปิดการขายลงหรือเปล่า

หลายท่านคงจะนึกลักษณาการของ สวนสนุกแบบ Theme Park ออกนะครับ  หลายท่านคงจะเห็นเหมือนกับผมนะครับว่า  เป็นสวนสนุกประเภทที่มีเรื่องราวกำกับอยู่กับเครื่องเล่นทุกอย่าง  ล่าสุดก็มีสวนสนุกแนว UFO เป็นให้บริการในรัฐหนึ่งของอเมริกา  ทำไมผมจึงกล่าวหาว่า  ประชาธิปไตยทุกวันนี้เป็นประชาธิปไตยแบบ Theme Park หละ...

ประชาธิปไตยทุกวันนี้  เป็นประชาธิปไตยของ "ผู้บริโภค" ครับ  แม้จะมีพลเมืองหลงเหลืออยู่บ้าง  แต่ก็ถูกเขี่ยออกไปอยู่ "วงนอก" เกือบหมดแล้ว  เพราะพวกพลเมืองเหล่านี้มักจะขัดขวาง "การขายนโยบาย" ของ "พ่อค้าประชาธิปไตย" เสียทุกคราวไป  นโยบายที่พ่อค้าเหล่านี้นำออกมาขายมักจะได้ผลเสียด้วยสิครับ  เพราะนโยบายแบบเก่านั้นหนะถูกมองว่าเป็น "นโยบายที่กินไม่ได้" พ่อค้าสมัยใหม่เห็นข้อบกพร่องตรงนี้จึงผลิตนโยบายประเภท "ประชานิยม" ออกมาขายครับ  ซึ่งก็ได้ผลทุกครั้งที่มีการนำออกมาขาย  ไม่ว่าประเทศแถบอเมริกาใต้  ประเทศอินเดีย  หรือแม้แต่สยามประเทศในยุคปฏิรูปการเมืองที่มีรัฐธรรมนูญดีที่สุดในโลกก็ตาม

ในความเป็นโลภาวิวัฒน์  มีหลายมิติที่อยู่ด้วยกันจนแทบแยกไม่ออกครับ  ด้านของตลาดคือวัฒนธรรมประชานิยม (pop culture) ด้านการเมืองเราต้องเจอกับการตื่นขึ้นของ "จักรวรรดินิยมใหม่" (neo imperialism) ที่บังคับขายนโยบายการค้าเสรีแก่ประเทศผู้อ่อนด้อยทั้งหลาย  ในขณะที่เจ้าจักรวรรดิยึดมั่นอยู่ใน mercantilism อย่างเคร่งครัด  ส่วนด้านการปกครอง  เราถูกพ่อค้าประชาธิปไตยประกาศขาย "นโยบายประชานิยม" (pop policy) อยู่ตลอดเวลา

ทั้งระบบตลาด  ระบบจักรวรรดินิยมใหม่  และระบบประชาธิปไตยแบบ themepark โจมตีประชาชนเสียจนบี้แบนด้วยอาวุธที่เป็น "ตัวตนที่ไร้รูป" พลเมืองส่วนใหญ่จึงยินยอมที่จะเป็นผู้บริโภคโดยไร้สิ้นซึ่งแรงกำลังที่จะขัดขืน  อาวุธที่ว่าคือ "ข่าวสาร" ที่กระหน่ำยิ่งผ่านการ "โฆษณาชวนเชื่อ" ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  ศึกครั้งนี้  ดูเหมือนว่า "สมรภูมิที่เป็นยุทธศาสตร์ที่จะกำหนดชัยชนะดูเหมือนว่าจะเป็นสื่อ"

กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม (socialization) แบบเก่า  ที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนกว่าจะถ่ายทอดค่านิยมจากรุ่นสู่รุ่นได้  เห็นทีจะต้องพ่ายแพ้แก่กระบวนการกล่อมเกลาของ "สื่อ" เพราะมันมีกระบวนการกล่อมเกลาที่สามารถเร่งความเร็วได้ตามต้องการ หน่วยเวลาของมันนับเป็น "วินาที" ในขณะที่การกล่อมเกลาแบบเก่านับเป็น "generation" ซึ่งอาจจะเรียกกระบวนการกล่อมเกลาแบบใหม่นี้ว่า "downloadization" ก็น่าจะได้ (ภาษาไทยราชบัณฑิตยังไม่บัญญัติครับ)

การทำความเข้าใจโลกในยุคที่ "ตัวตนที่ไร้รูป" มีอิทธิพลสูงสุด  เราคงไม่สามารถแยกระหว่าง ตลาด จักรวรรดิ และประชาธิปไตยได้  นักรัฐศาสตร์แบบ "ปลองโกลสเชี่ยน" คงต้องตั้งสติให้ดี  ไม่งั้นท่านและพลเมืองที่เหลือน้อยนิดของท่าน  จักต้องกลายเป็น "ผู้บริโภคที่ซื่อสัตย์" ของโลกภาวิภัฒน์แน่นอน...ออกมาใช้อาวุธเดียวกับที่มันแปลงคนของท่านตอบโต้มัน...เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ท่านสามารถปลดปล่อยคนของท่านให้เป็นอิสระ...ตามเจตนารมณ์ของผู้ปลดปล่อยนั้บจากทศวรรษที่ 1930 เสียแต่บัดนี้...ก่อนที่ผู้บริโภคจะถูกแปลงไปเป็น "ถ่ายไฟฉาย"  จนหมดทั้งโลก...
หมายเลขบันทึก: 105105เขียนเมื่อ 21 มิถุนายน 2007 12:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 01:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

<script type="text/javascript"><!--
google_ad_client = "pub-5736358835479844";
/* 728x15, created 12/25/08 */
google_ad_slot = "8088661522";
google_ad_width = 728;
google_ad_height = 15;
//-->
</script>
<script type="text/javascript"
src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js">
</script>

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท