สองเดือนที่ผ่านมา มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตชาวเกาะถึง 4 เกาะด้วยกัน ตั้งแต่ ชีวิตที่แสนเรียบง่าย เต็มไปด้วยวัฒนธรรมของชาวฮินดูที่เกาะบาหลี ความเร่งรีบของชาวมุสลิมในจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย สัมผัสชีวิตนักธุรกิจของชาวจีนบนเกาะฮ่องกง สุดท้ายคือเมืองมรดกโลกและแหล่งคาสิโนอย่างมาเก๊า ซึ่งล้วนแล้วแต่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ลองมาดู Productivity กับคุณภาพชีวิตของแต่ละที่กันเถอะค่ะ
เขตบริหารพิเศษฮ่องกงของสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ เกาะฮ่องกง ชื่อที่คุ้นหูและติดปากเรามาก เพราะอิทธิพลของหนังและดาราฮ่องกงเข้ามามีบทบาทกับคนไทยนานนับสิบปี ภาพของฮ่องกงที่ติดตาเรา มักจะมีตึกสูงใหญ่ เจ้าพ่อ มาเฟีย หรือแหล่งเสื่อมโทรมในตึกเก่าๆ เป็นหลัก ฮ่องกงเป็นแหล่งธุรกิจอย่างแท้จริง มีชื่อเสียงในด้านการเป็นแหล่งชอปปิ้ง และแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น สวนสนุกฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ สวนสนุกโอเชียนปาร์ค ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีการแสดง Symphony of Lights ซึ่งเป็นมัลติมีเดียโชว์ที่ติดตั้งถาวรใหญ่ที่สุดในโลก
ฮ่องกงดำเนินนโยบายการค้าเสรีและเป็นเมืองท่าเสรี จึงกลายเป็นเมืองที่ติดอันดับเศรษฐี มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 9 ของโลก ไม่มีการทำเกษตร ไม่มีการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพราะนำเข้าจากจีนได้ในราคาถูกกว่า Productivity ที่เกิดขึ้นในเมืองจึงค่อนข้างเป็นเรื่องของเทคโนโลยีเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินข้ามระหว่างเกาะต่างๆ ด้วยระบบอันทันสมัย มีสัญญาณไฟบอกตำแหน่งและเส้นทางเดินภายในขบวนบริเวณเหนือประตูทางออกอย่างชัดเจน รวมถึงสัญญาณบ่งชี้ประตูที่จะเปิดในสถานีถัดไปด้วย เนื่องจากเข้า-ออกได้สองทาง รถไฟฟ้านี้เชื่อมต่อกับการเดินทางอื่นๆ ทั่วทั้งเกาะ ทั้งรถราง รถบัส เรือและรถไฟที่สามารถไปถึงยังชายแดนติดต่อจีนทางเสิ่นเจิ้น แถมยังชำระค่าโดยสารทุกอย่างได้ด้วย Octopus card หรือที่คนไทยมักจะเรียกกันติดปากว่าบัตรปลาหมึก นอกจากนี้ยังสามารถบัตรนี้ใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้อีกต่างหาก เรียกว่าบัตรเดียวใช้คุ้มจริงๆ
นอกจากการคมนาคมที่เชื่อมโยงเครือข่ายทั่วทั้งเกาะแบบใยแมงมุมแล้ว ระบบการจราจรและขนส่งมวลชนยังถือว่ายอดเยี่ยมอีกด้วย รถบัสทุกคันจะตรงต่อเวลา มีระเบียบวินัย สะดวกสบายทั้งการเดินทางและการชำระค่าโดยสาร ฮ่องกงเป็นเมืองที่เข้มงวดในเรื่องกฎระเบียบมาก ดังนั้นทุกคนจึงเคารพสัญญาณไฟจราจร เมื่อเห็นสัญญาณไฟหรือได้ยินเสียงเตือนก็จะรีบข้าม และเมื่อเสียงสัญญาณถี่ขึ้นแสดงว่าใกล้จะหมดเวลาข้าม ก็จะหยุดเพื่อรอรอบต่อไป ถือว่าเป็น Visual control ที่เอื้อประโยชน์ต่อคนพิการมากเช่นกัน
ส่วนที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊า หรือเรียกสั้นๆ ว่า มาเก๊า (Macau) เป็นพื้นที่บนชายฝั่งทางใต้ของประเทศจีน ปกครองโดยประเทศโปรตุเกส ก่อน พ.ศ. 2542 เป็นอาณานิคมของยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดในจีน ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 16 อำนาจอธิปไตยเหนือมาเก๊าได้ย้ายไปที่สาธารณรัฐประชาชนจีนใน พ.ศ. 2542 กลายเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน
ความเจริญของมาเก๊าไม่สามารถเทียบเท่าฮ่องกงได้ ไม่มีแม้แต่รถไฟฟ้าทั้งๆ ที่เป็นเมืองที่เศรษฐกิจดีมาก สิ่งดึงดูดใจของมาเก๊าคือ อุตสาหกรรมการพนันและบ่อนคาสิโน นักพนันมักจะเดินทางไปมาเก๊า เพราะการเดินทางง่าย กฎระเบียบไม่เข้มงวด ข้ามฝั่งมาเพียง 1 ชั่วโมงก็เห็นความแตกต่างระหว่างฮ่องกงและมาเก๊าทันที ทั้งรูปแบบอาคารหรือความเจริญทางวัตถุ ที่ฮ่องกงดูจะทันสมัยไปเสียหมด
แต่ความรวยของมาเก๊าด้วยรายได้จากบ่อนคาสิโนก็ไม่น้อยหน้าในด้านเทคโนโลยีนัก ทั้งตู้ขาย SIM Card แบบหยอดเหรียญที่ตั้งรอนักท่องเที่ยวและตู้จำหน่ายแสตมป์ที่อำนวยความสะดวกในการจัดส่งทางไปรษณีย์ นอกจากนี้สิ่งที่ไม่ค่อยเห็นในบ้านเราคือการออกแบบรถเข็นในห้างสรรพสินค้า โดยปกติเวลาไปห้างสรรพสินค้า เรามักเห็นรถเข็นขนาดใหญ่สำหรับนักช้อปตัวยง ที่ไม่ค่อยเห็นใครใส่เต็มเสียที แต่รถเข็นที่มาเก๊าถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ให้มีขนาดเล็กและโปร่ง เมื่อไม่ใช้งานสามารถซ้อนกันได้อย่างไม่เกะกะ และนำตะกร้าสำหรับหิ้วมาวางได้อย่างพอดี นั่นหมายถึงว่า ผู้ซื้อสามารถปรับแต่งขนาดบรรจุของรถเข็นได้ตามความเหมาะสม เพราะรถเข็นหนึ่งคัน สามารถซ้อนตะกร้าได้ถึง 3 ใบ และเมื่อเกิดการชำรุด ก็เปลี่ยนเฉพาะตะกร้าสำหรับหิ้วที่มีใช้กันอยู่แล้ว ไม่ต้องลงทุนเปลี่ยนรถคันใหม่ให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ระบบของศูนย์อาหารที่นี่ก็น่าสนใจ เพราะให้ลูกค้าไปเลือกเมนูจากรูปหรือตัวอย่างที่ติดไว้หน้าร้าน แล้วดูเลขใต้รูปเพื่อไปแจ้งแก่แคชเชียร์ที่มีอยู่ 2 จุด เมื่อแจ้งรหัสอาหารพร้อมชำระเงินเรียบร้อยแล้ว แคชเชียร์ก็จะส่งกระดาษบันทึกคำสั่งซื้อให้ แล้วก็เดินไปรับอาหารได้เลย เพราะระหว่างที่แคชเชียร์ทำรายการนั้น คำสั่งซื้อก็ถูกส่งตรงไปยังร้านอาหาร ผ่านระบบเครือข่ายไร้สายที่รวดเร็วประหนึ่งติดจรวด ทำให้ไม่ต้องเสียเวลานานและไม่ต้องกลัวว่าจะมีข้อผิดพลาดในคำสั่งซื้อ
เทคโนโลยีอยู่คู่กับเงิน ประเทศที่เศรษฐกิจดีมากๆ ก็มักจะมีเทคโนโลยีเยอะ และไม่รู้จักการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เห็นได้จากการใช้ไฟฟ้าอย่างฟุ่มเฟือย ยามค่ำคืนก็เปิดไฟสว่างทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกงหรือมาเก๊า ผิดกับประเทศใหญ่ ประชากรมากอย่างอินโดนีเซีย ที่ต้องใช้ทรัพยากรอย่างจำกัด สิ่งที่น่าสนใจในจาการ์ต้าคือ แม้กลางคืนไฟบนถนนจะมืดสนิท แต่ป้ายรถเมล์ที่ถูกจัดทำเป็นห้องกระจกสำหรับรอรถประจำทาง ก็เปิดไฟส่องสว่างทั้งคืน อย่างน้อยก็คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนก่อน
Productivity กับคุณภาพชีวิตของเกาะต่างๆ จึงแตกต่างกันตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม แล้วประเทศไทยล่ะ ประเทศที่อุดมสมบูรณ์ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและความฉลาดของประชาชน จะสามารถรักษาความสมดุลของสิ่งที่มีได้นานแค่ไหนขอบคุณค่ะ คุณ มะปรางเปรี้ยว
จริงๆ คนไทยเราเดินทางท่องโลกเยอะค่ะ น่าจะไปแล้วพยายามเลือกหาสิ่งดีๆ ของเค้าเอามาปรับใช้บ้านเรา
การไปต่างประเทศ บางครั้งก็เหมือนย้อนอดีตหรือไปในโลกอนาคตค่ะ ทำให้เห็นว่าเมื่อความเจริญเข้ามามากเกินไป คุณภาพชีวิตส่วนที่ดีและแย่ก็จะเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน อยู่ที่ว่าเมื่อเราเห็นตัวอย่างแล้ว จะควบคุมมันได้มากน้อยแค่ไหน
บ้านเราเจริญก้าวหน้าเร็วเกินไปเป็นหย่อมๆ ค่ะ ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างชนชาติเดียวกันมาก เพราะในชนบทหรือจังหวัดที่ไม่ใช่หัวเมืองใหญ่บางแห่ง คนก็ยังขาดความรู้อีกเยอะ
ขาดความรู้ไม่เท่าไหร่ แต่ขาดจิตสำนึกนี่สิ..ลำบากค่ะ
เขียนสั้นไปหน่อยนะครับ..
เท่าที่เวลาจะเอื้อค่ะแบม
ช่วงนี้ภารกิจเยอะ อยากรู้รายละเอียดคงต้องโทร.มาคุยกันล่ะค่ะ
ประสบการณ์ต่างประเทศทำให้เรามีมุมมองกว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม เหรียญมีสองด้านเสมอ นะครับ
| - - |
| |
--------
|||||||||||||
กฎหมายฮ่องกงเข้มงวดมากการข้ามทางม้าลายต้องดูสัญญาณไฟรูปคนถ้าไฟเขียวจะมี
เสียง ติ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ถ้าไฟแดงจะมีเสียง ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก
ข้ามไม่ได้ ถ้าข้ามไฟแดงโดนรถชน คนที่โดนรถชนต้องจ่ายเงินเพราะว่ารถบุบบี้ถึ้ง
แล้วบาหลีล่ะ ลืมบาหลีไปที่นึง
น่าอิจฉาจริงๆ ที่มีโอกาสได้ไปเห็นไปสัมผัสประเทศเหล่านี้ เพราะล้วนแต่เป็นสถานที่ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของตัวเอง
แต่สิ่งต่างๆที่เป็นไปย่อมมีเหตุผลของตัวมันเอง ซึ่งบางที่อาจแตกต่างจากที่เราคิดโดยสิ้นเชิง