เป็นไพร่พล ประชาชนก็คือเบี้ย
หนึ่งในภาพสะท้อนสังคมการเมืองไทย ท่ามกลางความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น กระจายตัว และระอุด้วยความหวาดหวั่น ความหมายของมวลชน ถูกสร้างไว้ฉากหน้า ของความกล้าหาญชาญชัย เพื่ออุดมการณ์แนวคิด เป็นทั้งมายา และวาทกรรมแห่งการต่อสู้ ความกล้าหาญล้วนถูกนำไปสู่การปะทะ ความรุนแรงจากความไม่กลัวตาย และความเชื่อในสิ่งที่ทำ ว่าเป็นศรัทธาแห่งการเมือง อันพึงปรารถนาได้ แต่มิได้พูดถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
ในค่ำคืนวันอาทิตย์ นิติพงษ์ ห่อนาค พูดถึงการเมืองแบบไม่ตั้งใจ แต่ตรงประเด็น เมื่อสะท้อนมุมมองส่วนตัว ในฐานะนักคิดและผู้มีพื้นที่ของการแสดงห้วงความคิด เขาบอกกล่าวว่า ความรุนแรงที่เราเห็นในขณะนี้ เปรียบเหมือนเวทีกีฬา ที่มีทั้งกองเชียร์ คนดู และนักกีฬา เมื่อนักกีฬาลงจากเวที เขาก็เป็นเพื่อนกัน จับมือทักทายกับตามประสาคนในวิชาชีพเดียวกัน มีเพียงแต่กองเชียร์ และคนดูเท่านั้น ที่ยังติดกับความเมามันในเกมกีฬา
คำตอบและการอธิบายที่ตรงเนื้อความ ตรงความจริงในโลกแห่งอำนาจ
ไม่แตกต่างจากความจริง ในรอบหลายพันปี ที่บรรดาผู้นำการปกครอง ELITE ของโลกแห่งการปกครอง ล้วนอาศัยอยู่ภายใต้โครงสร้างส่วนบน ที่มีแนวคิด คำจำกัดความ ความรู้ และการถ่ายทอด ภูมิธรรมจากภูมิปัญญาของโลกการเมืองการปกครอง ถ่ายทอดออกมาให้เห็นอย่างมากมาย
หนึ่งในงานแห่งภูมิปัญญาของโลก คัมภีร์ภควัทคีตา กล่าวถึง การให้เกียรติต่อศัตรู ที่แม้แต่ศัตรูก็ควรให้มีเกียรติ แม้แต่ศัตรก็ยังต้องเชิดชูเกียรติ
แม้แต่ปรัชญา ราชนีติ บทที่ 24 ยังกล่าวถึงหลักปฏิบัติแห่งชนชั้นปกครองว่า
ชนะคนที่ต่ำกว่า ไม่จัดเป็นชนะที่ดี ข่มเหงคนที่อ่อนกำลังกว่า ไม่จัดว่าเป็นลูกผู้ชาย ชนะคนที่มีกำลังมาก จัดว่าเป็นคนพิเศษ แต่เจ้าชนะทาส ก็มิได้ชื่อว่าชนะดี คนที่เบียดเบียนคนยอมแพ้ ไม่ชื่อว่าคนดีเลย
หลักธรรมคำกล่าวแห่งศาสตร์โบราณมากมาย ล้วนแยก ELITE ออกจากไพร่พลทั้งสิ้น คุณค่า ความนับถือ ที่มอบให้แก่ ELITE ด้วยกัน ล้วนไม่ต่ำศักดิ์ จะเพราะเครือข่ายสัมพันธ์ เพราะศักดิ์สูงเสมอเทียม เพราะบ่มเพาะปัญญาจากตักศิลาเดียวกัน ด้วยนามศิษย์สำนักและอาจารย์ร่วมกัน ทรัพย์สินเล่า ก็มิต่ำต้อยกว่ากัน คุณค่าประดามี ที่เหล่าชนชั้นกำกับปัญญา ทิศทางการบริหารราชการแผ่นดิน กระทั่งนำพาไปสู่ความขัดแย้ง ล้วนรักษาน้ำใจ จังหวะท่าทีแห่งความขัดแย้งเสมอ นอกเหนือจากจุดแตกหัก ที่แต่ละฝ่ายมิอาจยอมได้ จึงต้องหักหาญกัน
แต่ใครเล่า จะเข้าใจความหมายของไพร่พล และหญ้าแพรก เมื่อช้างสารเข้าบดขยี้ ห้ำหั่น ชิงชัยกันนั้น ความย่อยยับสูญเสียปรากฎอยู่ที่ใด ความเจ็บปวดรันทด จากห้วงศรัทธาที่เฝ้าประการก้องในขบวนแถว ริ้วขบวนทัพ ว่าเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ความหมายอันเจ็บปวดของวีรชน แต่ละคน แต่ละคน ล้วนถูกใช้ประโยชน์ ช่วงชิงประโยชน์จากการกำกับไว้ด้วยคำว่า วีรชนคนกล้า
แล้วความตาย ได้ทำให้เขาเหล่านั้น สำเร็จตามหวังเช่นนั้นหรือ หรือเพราะคนที่ช่วงใช้ประโยชน์แห่งความตายของวีรชน เข้าใจหลักการแห่งวาทกรรมดีพอ จึงไม่จำเป็นต้องทำตามทุกถ้อยคำของคนที่เขาเหล่านั้นเรียกว่า วีรชน วาทกรรมดำมืดของประโยชน์ในคำเรียกขาน จึงยังคงดำรงอยู่ต่อไป
มวลชนผู้ยากไร้ทั้งหลาย ย่อมแลเห็นได้ เมื่อปี่กลองการเมืองยุติลง เวทีการเมืองถูกปิดม่าน เก็บเข้าสู่ประวัติศาสตร์ กลายเป็นหน้าหนึ่งของบทบันทึก ซากศพ เศษขยะ และริ้วรอยตกค้างของความสูญเสีย นอนเกลื่อนสนามสัประยุทธ์ ใครเล่าจะมองเห็น
เพราะหลังจากสงครามที่ใช้มวลชน ไพร่พล ปิดม่านลง ประดา ELITE ก็ล้วนแต่ได้รับคำตอบแห่งการห้ำหั่นที่เข้าได้รับ ชนะก็เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ แพ้ก็ต้องทำตามในแต่ละกฎเกณฑ์ซึ่งถูกกำหนด รอคอยการล้มกระดาน และความขัดแย้งจะบังเกิดอีกครั้ง
หลายครั้งหลายครา ที่ประวัติศาสตร์บอกสอนเรา ให้เข้าใจว่า ความรุนแรงขัดแย้ง ล้วนไม่ส่งผลดีต่อผู้ใด แต่ความขัดแย้ง รุนแรง การปะทะ สงคราม และการช่วงชิง ก็ยังปรากฎอยู่เสมอ
ในนามของความจริง
ในความประทับใจแห่งแรงบันดาลใจ ผู้นำมวลชนมากมาย ล้วนกอดคอกันกลมเกลียว หลังลงจากเวทีการเมือง รักกันแน่นเฟ้น เพราะเข้าใจด้วยบทบาทท่าทีแต่ละฝ่าย สมานประโยชน์เพราะตระหนักถึงผลที่จะตามมา ละเลียดผลแห่งข้อตกลง เมื่อทุกอย่างลงตัว
ELITE ล้วนเรียนรู้ตระหนัก แห่งการสมานประโยชน์ เท่ากับ เรียนรู้ที่จะห้ำหั่นกัน เมื่อเกิดความขัดแย้ง โดยใช้มวลชนแห่งศรัทธาเข้าปะทะ แล้วเรียนรู้คำตอบหลังการเลิกราศึก เจรจาจนลงตัว และเวลาที่เหมาะสมในการถอดหัวโขน เมื่อปี่กลองแห่งสัประยุทธ์จบลง มีแต่เพียงไพร่พล มวลชน และประชาชน ที่หาตัวตนไม่พบ จนต้องเคว้งคว้างหลังเวทีแห่งความขัดแย้งจบสิ้นลง หากตายไปก็ได้รับการสถาปนา ว่าเป็นวีรชน หากพิจารณาก็เจ็บปวดหนักเข้า เมื่อต้องกอดบาดแผลแห่งศรัทธาไว้กับตัวเอง มีบ้างเข้าใจ บ้างไม่รับรู้ มีบ้างไม่สามารถถอดหัวโขนเหล่านี้วางไว้ เพียงเพราะคำว่า วีรชน ได้ค้ำคอ และค้ำใจของเขาไว้ ว่าครั้งหนึ่งได้เคยทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ และแผ่นดิน
แล้ว ELITE ก็นั่งลงสมานประโยชน์ และสมานบาดแผล ที่ตัวเองแทบจะไม่ได้รับ เพราะรู้จักปีก รู้จักหาง ที่จะหลบหายในยามภัยปรากฎ รู้จักหลบ รู้จักหนี เมื่อไม่สามารถคุมสถานการณ์อันได้เปรียบ แล้วไพร่พลมวลชนเล่า รู้และเข้าใจความหมายของคนรู้จัก และมืออาชีพแห่งขั้วการเมือง ที่โลกรับรู้อย่างยาวนานเพียงใด
เมื่อต้องเห็นภาพเจ็บช้ำน้ำใจ จากความสูญเสีย ในการปลุกปั่นของผู้นำมวลชน ที่ไม่แลเห็นความเจ็บปวดของมวลชน ว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สิ่งที่ทำได้ จึงมีเพียงเสียงบอกว่า ถึงประชาชน ว่าคุณทุกคน เราทุกคนคือประชาชน
ฉันคือประชาชน
วงคาราวาน
สุรชัย จันทิมาธร
ฉันคือประชาชน ต้องอดทน ได้ทุกอย่าง
แม้นปัญหา มันคับคั่ง ประเดประดังอยู่ในใจ
ฉันคือประชาชน ต้องห้อยโหน ทุกวันวี่
รถเมล์มันล้นปรี่ ร้อนสิ้นดี ก็ต้องทน
ฉันคือประชาชน ผู้ดิ้นรนทุกเช้าค่ำ
เหงื่อไคลมันไหลช่ำ หน้าก็ดำ ตัวก็เหนียว
ฉันคือประชาชน ที่ผอมโซ เหมือนซังหญ้า
อยู่ตามทุ่งตามป่า ไร้ราคา ค่าควรมอง
ฉันคือประชาชน ไม่ใช่คนที่มีเกียรติ
ไปไหนต้องละเลียด ค่อยๆเหยียด ค่อยๆเงย
ฉันคือประชาชน ไม่เหมือนคนที่ยิ่งใหญ่
ไปไหนคนก็ไหว้ เอามือไขว้หว่างขา
ฉันคือประชาชน ไม่ใช่คนมีอำนาจ
ไม่เคยคิด ไม่เคยคาด อยากผูกขาดประเทศไทย
เป็นไพร่พล ประชาชนก็คือเบี้ย
แล้วก็โดนเขี่ย แบบลิ่วล้อ ในหนังจีน
เป็นไพร่พล ประชาชนก็คือเบี้ย
แล้วก็โดนเขี่ย แบบลิ่วล้อ ในหนังจีน
อ้างอิง – บทเพลง
สามารถรับฟังได้ที่
อัลบั้ม 20 ปี คาราวาน - คนกับงาน
http://imusic.teenee.com/2/frame/5487.php
สวัสดีค่ะคุณ Kati
อ่านแล้วซึม...
คือลิ่มที่...ตอกย้ำ...อย่างซ้ำซาก
เกิดแล้วยาก...เลือนกลบ...ลบความหมอง
เมื่อยุติ...ไม่ต้องธรรม...ตามครรลอง
เสียงเรียกร้อง...ย่อมระงม...ทั่วแผ่นดิน