บทพิสูจน์ความเป็นจริงเกี่ยวกับ อัลกุรอ่าน........

“ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตาเสมอ“
บทพิสูจน์ความเป็นจริงเกี่ยวกับ อัลกุรอ่าน........

ต่อจาก.....ตอนที่1: ฟาร์โรในยุคศาสดาโมเสส กับการเสียชีวิตของท่าน


ตอนที่ 2: Embryology

ถ้อยคำในอัลกุรอ่านเกี่ยวกับการกำเนิดและพัฒนาการของมนุษย์มีกล่าวไว้หลายที่ด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตามมีเพียงนักวิทยาศาสตร์ยุคหลังๆที่เกิดความประทับใจและเข้าใจในข้อมูลต่างๆเหล่านั้น ทั้งๆที่อัลกุรอ่านถูกประทานมานานกว่าพันสี่ร้อยปีมาแล้ว อัลกุรอ่านมีปาฏิหาริย์ในตัวของมันเอง ต่างยุคต่างสมัยมุสลิมสามารถค้นพบถึงความจริงเกี่ยวกับที่มาของอัลกุรอ่านเรียกได้ว่าจากจุดสนใจที่แตกต่างกันไป ในสมัยที่ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) ของเรายังมีชีวิตอยู่ นอกจากผู้คนที่เปลี่ยนเข้ารับอิสลามเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวท่านที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์ และไม่เคยพูดปดแล้ว เราทราบดีว่ายุคนั้นผู้คนมีความเชียวชาญทางภาษาหรือบทกวีอาหรับ หลายต่อหลายคนรู้สึกแปลกใจและประทับใจในความงามทางภาษาตลอดจนความหมายของอัลกุรอ่าน จนทำให้เค้าเกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นต่ออัลลอฮ์ (ซบ.) เพราะเข้าใจดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ซึ่งไม่รู้หนังสืออย่างศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) จะเป็นเจ้าของถ้อยคำในอัลกุรอ่านอันสวยงามและไพเราะยิ่งนั่นเอง

   มุสลิมทุกคนเชื่อว่า อัลลอฮ์ (ซบ.) ไม่ได้ส่งศาสดาท่านสุดท้ายหรือศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) มาเพื่อชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่ง แต่ส่งท่านมาเพื่อทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาของพระองค์ (อิสลาม) ต่อทุกๆกลุ่มชนและสำหรับมนุษยชาติยุคสุดท้ายนั่นเอง ในขณะที่ศาสดาก่อนหน้านั้นได้ถูกส่งมาเพื่อชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่งเป็นการเฉพาะ ตามที่ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอ่านตอนหนึ่งว่า  "และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่า 'ทำไมจึงไม่มีปาฏิหาริย์จากพระผู้อภิบาลของเขาถูกประทานลงให้แก่เขา?’ แท้จริงเจ้า(ศาสดามูฮัมหมัด ซล.) เป็นผู้ตักเตือนเท่านั้นและสำหรับทุกๆกลุ่มชนนั้นได้ส่งผู้ชี้ทางนำ" (Al-Quran 13: 7)

   ด้วยเหตุที่หลักคำสอนที่เผยแพร่โดยศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) นั้นสำหรับมนุษยชาติยุคสุดท้าย ข้อมูลต่างๆจึงต้องเหมาะสมต่อทุกยุคทุกสมัยนับจากวันที่ท่านเริ่มเผยแพร่ศาสนา โดยปกติแล้วสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องยืนยันว่าศาสดานั้นๆเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ (ซบ.) ส่งมาเผยแพร่ศาสนาของพระองค์คือปาฏิหาริย์ที่พระองค์มอบให้เป็นสิทธิพิเศษ กรณีของศาสดามูซาหรือโมเสสเราทราบดีว่าท่านเคยทำให้นักมายากลเชื่อมาแล้วในกรณีเรื่องราวของไม้เท้าของท่านและกรณีของศาสดาอีซาหรือเยซูคือท่านสามารถทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพได้ และเราจะพบว่าปาฏิหาริย์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ใช้ในการยืนยันถึงเรื่องที่ท่านเผยแพร่สำหรับกลุ่มชนยุคนั้นๆเท่านั้น เพราะถ้าเราขอให้ยิวหรือคริสเตียนในปัจจุบันแสดงปาฏิหาริย์ให้เราเห็นในตอนนี้ก็จะพบว่าไม่มีใครสามารถทำได้ ไม่มีใครหาไม้เท้าและแสดงอย่างเดียวกับศาสดามูซาและไม่มีใครที่ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้อย่างศาสดาอีซาแน่นอน ในทางกลับกันเพราะศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) เป็นศาสดาท่านสุดท้าย ปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งที่อัลลอฮ์ (ซบ.) มอบให้กับศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) เพื่อสามารถใช้เป็นเครื่องมือพิสูจน์และยืนยันได้ว่าท่านเป็นศาสนทูตที่ถูกส่งมาจากอัลลอฮ์ (ซบ.) จริง จึงต่างจากปาฏิหาริย์ที่มอบให้แก่ศาสดาท่านอื่นๆ เพราะปาฏิหาริย์นั้นต้องร่วมสมัย ต้องสามารถทำให้คนสัมผัสได้ ไม่เว้นแม้แต่หลังจากที่ท่านจากไปแล้ว นอกจากนั้นมันจะต้องอยู่คู่กับเราจนวันสุดท้ายหรือวันสิ้นโลกนั่นเอง และนั่นก็คืออัลกุรอ่านที่ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน ถ้อยคำต่างๆ ก็ยังสามารถสร้างความประหลาดใจแก่ผู้คนที่สนใจและศึกษามันอยู่เสมอ

   ปัจจุบันผู้คนมีความสนใจและตื่นตัวต่อข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่นักวิทยาศาสตร์หรือไม่เว้นแม้แต่บุคคลในสาขาอื่นๆเกิดความสนใจต่ออัลกุรอ่านหลังจากค้นพบข้อมูลต่างๆที่ไม่ขัดแย้งต่อความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญเพราะวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีแขนงเดียว ถ้อยคำในอัลกุรอ่านเกี่ยวกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จึงมีความหลากหลายจนแทบจะพูดได้ว่าครอบคลุมทุกๆแขนงวิชา หนึ่งในนั้นคือเรื่องการกำเนิดและพัฒนาการของมนุษย์


                                                                             

                                                  "...พระองค์ทรงสร้างพวกเจ้าในครรภ์มารดาของพวกเจ้า เป็นขั้นตอน
                                       จากรูปหนึ่งสู่อีกรูปหนึ่ง ในความมืดสามชั้น..." (Al-Quran 39:6)