มงคลสูตร ว่าด้วยหลักปฏิบัติหรือแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีซึ่งจัดว่าเป็น มงคล มี ๓๘ ประการ... เป็นพระสูตรที่สำคัญซึ่งโบราณาจารย์ประยุกต์ใช้มาเป็นบทสวดหลักในการเจริญพระพุทธมนต์ สำหรับทำ น้ำมนต์ เพื่อใช้ประพรมให้เป็นสิริมงคลดังที่พวกเราทราบกันโดยทั่วไป.... อันที่จริง มงคลสูตรจะเป็นสิริมงคลได้จริงแท้ก็ต้องนำไปปฏิบัดิหรือใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวต... เพียงแต่รดน้ำมนต์ ถ้าไม่ปฏิบัติตามมงคลสูตร ผู้เขียนคิดว่าชีวิตนี้ก็จะหาสิริมงคลได้ยาก.....
ประสบการณ์จากการสอน ป.ธ. ๔ ซึ่งใช้คัมภีร์อธิบายมงคลสูตร (มังคลัตถทีปนี) มาหลายปี ทำให้ผู้เขียนคิดว่าลำดับของคาถาในมงคลสูตร มีลักษณะเป็น ธรรมลูกโซ่ คือเป็นการจัดลำดับสิ่งสำคัญตามช่วงวัยแห่งชีวิต ซึ่งผู้เขียนได้เล่ามาย่อๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ... โดยตั้งชื่อเรื่องว่า ปรัชญามงคลสูตร เพราะเป็นการตีความโดยผู้เขียนเอง และโดยอาศัยร่องรอยบางอย่างที่คัมภีร์อรรถกถาชี้ช่องทางไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น... ดังนั้น ก่อนจะจบปรัชญามงคลสูตร จึงจะทบทวนลำดับทั้งหมดอีกครั้ง....
คาถาแรกเริ่มต้นด้วยหลักความเจริญก้าวหน้า นั่นคือ คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ต้องประกอบด้วยคุณธรรมเบื้องต้น กล่าวคือ การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต และการบูชาผู้ควรบูชา เช่นพ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์เป็นต้น ซึ่งจะเป็นผู้ชี้แนะให้เราทราบว่า ใครเป็นคนพาล หรือลักษณะไหนที่ได้ชื่อว่าบัญฑิต...
เริ่มต้นชีวิตใหม่ นั่นคือ ชีวิตแรกเกิดก็ต้องอยู่ในท้องถิ่นที่สมควร บุญที่สั่งสมไว้ในปางก่อนจะเป็นตัวนำพาให้เราอยู่ในท้องถิ่นที่สมควรหรือไม่อย่างไร... นั่นเป็นทุนรอนเก่า แต่เราก็สามารถสร้างสิ่งใหม่ในการเริ่มต้นชีวิตนี้ได้โดยการดำรงตนไว้ในแนวทางที่ชอบที่ควร...
การดำรงตนไว้ในแนวทางที่ชอบที่ควรก็คือ ต้องเป็นผู้ใคร่รู้มีการศึกษามาก และสามารถกระทำสิ่งนั้นๆ ได้ตามที่เรียกกันว่าผู้มีศิลปะ... วางระเบียบในการดำรงชีวิตให้เหมาะสมที่เรียกกันว่าวินัย... และมีมนุษย์สัมพันธ์เป็นผู้รู้หลักในการพูดที่เรียกว่าวาจาสุภาษิต.... เมื่อสิ่งเหล่านี้ครบถ้วน นั่นคือ การตระเตรียมอย่างดีเพื่อจะได้อยู่ครองเรือน
เมื่ออยู่ครองเรือน โดยแยกออกมาจากครอบครัวเดิม กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ก็จะต้องรับผิดชอบจัดการกับภารกิจต่างๆ ซึ่งจำแนกได้เป็นสิ่งที่จะต้องกระทำและสิ่งที่ควรทำ
ในสิ่งที่จะต้องกระทำเหล่านั้น การบำรุงมารดาบิดา การสงเคราะห์บุตรและภรรยา (หรือสามี) และการไม่ให้หน้าที่การงานหมักหม่มคั่งค้าง... แม้ถ้าสิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกันก็ให้จัดความสำคัญจากมากไปหาน้อยดังนี้ กล่าวคือ มารดา บิดา บุตร ภรรยา (หรือสามี) และการงาน...
ส่วนในสิ่งที่ควรกระทำเพื่อสังคมนั้น รู้จักเสียสละที่เรียกว่าทานเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นโดยตรง ประพฤติอยู่ในทำนองครองธรรมเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นโดยอ้อม สงเคราะห์บรรดาญาติในฐานะสายเลือดหรือวงศ์ตระกูลเดียวกัน และหลีกเลี่ยงการงานที่มีโทษเพื่อเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น...
เมื่ออายุสูงขึ้นไปอีกก็ควรดำรงตนเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของเยาวชนคนรุ่นหลังที่เรียกว่าตัวแทนทางศีลธรรม ด้วยการงดเว้นจากบาป รู้จักสำรวมจากการดื่มน้ำเมา และรู้จักระมัดระวังตนโดยการไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย....
เมื่อวัยกลางคนกำลังจะผ่านไปก็ควรตระเตรียมตัวเองเพื่อเข้าสู่ปัจฉิมวัยหรือผู้สูงอายุ โดยการเคารพต่อสัจธรรมความจริง อ่อนน้อมต่อสัจธรรมความจริง รู้จักสันโดษด้วยการยินดีตามมีตามได้และตามความเหมาะสม รู้จักอุปการคุณของผู้อื่นที่ได้กระทำให้แก่ตนที่เรียกว่ากตัญญู และฟังธรรมตามกาลเหมาะสมเพื่อยกระดับจิตใจให้ค่อยๆ สูงขึ้น....
เพิ่มพูนคุณธรรมให้แก่ตัวเองโดยการเป็นผู้อดทน เป็นผู้อันใครว่ากล่าวโดยง่าย มิใช่เป็นผู้ดื้อด้านถือดีเพราะมีอายุมาก หันหน้าเข้าวัดเพื่อจะได้พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นซึ่งเรียกว่าการพบเห็นสมณะ และร่วมสนทนาธรรมตามโอกาสเพื่อพิจารณาและตรวจสอบความเห็นถูกเห็นผิดของตัวเอง....
แม้มุ่งหวังความเจริญสูงขึ้นแห่งธรรมต่อไป ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุก็จะค่อยๆ เป็นเรื่องลึกลับสำหรับตัวเองและคนอื่นๆ กล่าวคือ...
บำเพ็ญตปะ โดยการสำรวมระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพื่อมิให้ช่องทางแก่อกุศลที่จะเกิดขึ้นมา และเผาผลาญความเกียจคร้านให้หมดไปเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของผู้อื่นมากนัก....
บำเพ็ญพรหมจรรย์ โดยการเว้นจากการร่วมหลับนอนกับหญิงหนึ่งหรือชายใด แล้วพิจารณาร่างกายโดยอาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ว่ามิใช่สิ่งที่สวยงาม คงทน หรือมิใช่สิ่งที่เป็นไปในอำนาจของเราได้....
พิจารณาทุกข์ เหตุเกิดทุก การดับทุกข์ และแนวทางการดับทุกข์ ที่เรียกว่าการเห็นอริยสัจ...
และใส่ใจถึงการกระทำนิพพานให้แจ้งเป็นอารมณ์เพื่อจะได้เป็นบุญวาสนาปารมีสั่งสมไปสู่ชาติหน้าและชาติต่อๆ ไป....
สรรพสิ่งและสุขทุกข์ล้วนอยู่ที่ใจ แต่จิตรใจของบุคคลผู้ใดอันโลกธรรมทั้งส่วนที่พึงปรารถนาได้แก่ สุข ลาภ ยศ และสรรเสริญ... และส่วนที่ไม่พึงปรารถนาได้แก่ ทุกข์ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ และนินทา... เข้าไปถูกต้องสัมผัสแล้ว ก็ไม่หวั่นไหวคลอนแคลนไปกับโลกธรรมเหล่านั้น ก็จะไม่เศร้าโศรก ไม่ขุ่นมัวหม่นหมอง เป็นจิตรใจที่ปลอดโปร่งสดชื่น.. ซึ่งจิตรใจของผู้ใดเป็นอย่างนี้ได้ชื่อว่าบรรลุธรรมหรือถึงพระนิพพานอันเป็นอุดมคติสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา.....
..................
ผู้เขียนเริ่มเขียนบันทึกชุดนี้มาตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม และเร่งเขียนเพื่อให้จบเมื่อไม่กิ่วันที่ผ่านมา รวมทั้งหมด ๔๒ ตอน ผู้สนใจอาจทบทวนทั้งหมดได้อีกครั้ง
อนึ่ง ที่เร่งเขียนให้จบก็เพื่อจะรวบรวมพิมพ์เป็นเล่ม เพื่อพิมพ์แจกเป็นอนุสรณ์งานทอดผ้าป่าประจำปีของหน่วยวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จังหวัดสงขลา ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ ๓๐ มิถุนายนนี้
ดังนั้น จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ร่วมงานทอดผ้าป่าฯ ครั้งนี้ด้วย ณ.ที่ตั้งหน่วยฯ วัดหงษ์ประดิษฐาราม อ.หาดใหญ่ จ. สงขลา ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ ๒๕๕๐ เวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น.
กราบนมัสการหลวงพี่BM.chaiwut
ขอกราบขอบพระคุณในธรรมทาน ที่หลวงพี่ได้เขียนสรุปปรัชญามงคลสูตรให้ได้อ่านค่ะ ดิฉันได้ประโยชน์มากจากการอ่านบันทึกของหลวงพี่ เพราะได้ทบทวน ได้สอบตัวเอง และได้นำไปใช้ในบ้างในบางโอกาสค่ะ
น่าเสียดายที่อยู่ไกลและติดงานสอน ไม่สามารถไปร่วมงานทอดผ้าป่าได้ค่ะ
กราบนมัสการขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ...
ดิฉันมีเรื่องจะถาม ว่าโลกธรรม ๘ ในการประยุกต์ใช้อย่างไร ดิฉันหาข้อมูลไม่ได้สักทีอยากให้ท่านช่วยตอบด้วยคะ
สิ่งที่ดีๆนี่ช่างพบยาก รู้ยาก ทำยาก และบรรลุยาก นะพระคุณเจ้า
ดร.ไสว เลี่ยมแก้ว
เป็นปลื้ม ! (อีกแล้ว) ที่อาจารย์มาเยี่ยม....
อาตมาก็พยายามนำเรื่องที่คิดว่า ไม่ค่อยเจอในที่อื่นๆ มาเล่า... ส่วนที่เจออยู่ทั่วๆ ไป ก็ขี้เกียจนำมาเล่า ....
ส่วนที่่ อาตมา บ่น ไปบ้าง นั่นก็เป็นธรรมดา ทำนองเดียวกับคนทั่วๆ ไป....
เจริญพร