หลายคนบอกว่ามันไม่มีหรอกเมืองพอ มันมีแต่เมืองพลนั่นแหละ...เออ...จริงซิเน๊าะ ...แต่ไม่ใช่... สิ่งที่อยากจะนำเสนอในวันนี้ก็คือว่าความพอเพียงในการเกษตรนั้นมันอยู่ที่ใด?
จากโจทย์ดังกล่าว ก็มักจะมีคำคำถามซ้อนตามมาครับว่า
1. พี่น้องเกษตรกรจะต้องมีที่ดินเท่าไหร่ กี่ไร่ล่ะจึงจะพอเพียงในการทำเกษตรกรรมเลี้ยงชีวิตให้พออยู่พอกินได้
2. จะมีวิธีการผลิตอย่างไรในพื้นที่ที่มีอยู่ให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างความสุข
3. จะมีวิธีการจัดการผลผลิตอย่างไร จึงจะให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
4. จะมีวิธีการปลดเปลื้องหนี้สินได้อย่างไร
จากโจทย์ดังกล่าวเป็นปัญหาที่ถกกันแล้วถกกันเล่าก็ไม่สามารถหาทางออกได้ซักที ซึ่งผมก็ไม่อยากให้เป็นปัญหา "อมตะนิรันดร์กาล" เพราะผมยังเชื่อว่านักวิชาการไทยเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และสามารถช่วยให้พี่น้องเกษตรกรหลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้ได้ เพียงแต่ว่าท่านเหล่านั้นอาจจะยังไม่ได้ทุ่มกำลังกาย และกำลังใจลงมาช่วยอย่างจริงจัง และจริงใจ เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามเส้นทางสู่ความพออยู่พอกิน และการปลดหนี้ ของพี่น้องเกษตรกร ก็คงยังไม่ถึงทางตัน เพราะมีอีกหลายเส้นทางในการที่เราจะก้าวเดินต่อไป แต่วันนี้ผมใคร่ขออนุญาตในการที่จะเล่าถึงแนวคิดของพันธมิตรทางวิชาการของผมอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเกษตรกรที่ต่อสู้กับชีวิตมาโดยตลอด มีภูมิลำเนาอยู่อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ปัจจุบัน อาสามาทำแปลงเรียนรู้ในชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ท่านผู้นั้นคือ......คุณธงชนะ พรหมมิ
คุณธงชนะ เป็นเกษตรกรที่ผลิตผักปลอดสารเคมี แบบประณีต ซึ่งได้รับตรามาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากกรมวิชาการเกษตร คุณธงชนะ ผลิตพืชผักบนพื้นที่ 1 - 2 ไร่ ในการเลี้ยงครอบครับให้พออยู่พอกิน สามารถหมุนเวียนขายพืชผักให้มีรายได้สัปดาห์ละประมาณ 7,000 บาท
แนวคิดต่อกระบวนการผลิต ในระบบการผลิตของคุณธงชนะ ใช้หลักการที่ว่า
1. ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2. ปลูกพืชที่หลากหลาย
3. ปลูกพืชหมุนเวียน
4. ที่สำคัญต้องปรับปรุงบำรุงดินให้มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช
5. และสร้างความสมดุลให้ระบบนิเวศ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพืชผักที่ปลูก ไม่ว่าจะเป็น คะน้า กะหล่ำ แตง พริก มะเขือ ฯลฯ จะมีความสวยงาม กรอบ รสชาติดีไม่มีพวกแมลงต่างๆ รบกวน และที่สำคัญผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคอีกต่างหาก
จากแนวคิดของคุณธงชนะ ดังที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะเป็นแนวทางหนึ่งสำหรับการทำการเกษตรแบบประณีตเพื่อให้เกิดความพอเพียงในครอบครัวของตนเอง แต่ผมมองว่าการวางแผนการผลิตที่ดีเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถดำรงอยู่อย่างพอเพียงได้นอกจากผู้ผลิตต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยจะต้อง "ละอบายมุข" และมีจิตจิตวิญญาณที่อยู่บนฐานของความพอเพียง ก็จะทำให้เราสามารถที่จะดำรงอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข
ขอบคุณครับ
อุทัย อันพิมพ์
18 มิถุนายน 2550