อ้างอิง
ภาพถ่าย ฝีมือและผลงานการถ่ายภาพ-ลิขสิทธิ์ของ คุณ kokoyadi
การเมืองบนแท๊กซี่
เมื่อเรามีโอกาสพูดคุยเรื่อยเปื่อย กับคนขับแท๊กซี่ เราเริ่มต้นคุยด้วยประโยคใด นอกเหนือจากถามเรื่องดินฟ้าอากาศ สภาพรถติด บ่นเรื่องผู้คน และถามคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ว่า วันนี้ได้คนเยอะไหม
หลายครั้งที่มีโอกาสค้นพบ กับคำตอบบางอย่าง เมื่อเรามองคนที่อยู่รอบข้างเรา ด้วยความพยายาม ด้วยความเชื่อว่า เราเข้าใจคนอื่นได้ หากเราตั้งใจฟัง ตั้งใจเปิดรับ ด้วยการจับใจ จับความรู้สึก จากสิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการจะพูด ต้องการจะอธิบาย
อ้างอิง
ภาพถ่าย ฝีมือและผลงานการถ่ายภาพ-ลิขสิทธิ์ของ คุณ kokoyadi
วันนี้ ผมมีคำตอบ ที่เกิดจากคำถามขณะนั่งบนรถแท๊กซี่ ขณะมองเห็นคำตอบที่เชื่อว่าเป็นเรื่องธรรมดา นานหลายปี ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ จากคำตอบที่ผ่านเลยไปในแต่ละวัน แม้จะเป็นคำตอบธรรมดาๆ ที่ผู้คนทั่วไปต้องตอบ ต้องคอยสดับฟัง เพราะยามทุกข์ยาก มันจะเป็นความรู้สึกเช่นใด เมื่อเราต้องประสบปัญหา
ขณะที่ความรุนแรงทางการเมือง เริ่มต้นขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในหลายปีของการเมืองไทย ผมก็พบว่า ข่าวสำคัญที่เรามักได้ยินได้ฟังเสมอ เมื่อเกิดความตึงเครียด และความรุนแรงทางการเมือง นั่นคือภาพมวลชน จากมวลชนคนขับรถแท๊กซี่ บางสำนักข่าว ก็อาจอ้างอิงแหล่งข่าวได้ว่า มีอำนาจทางธุรกิจ และเครือข่ายความสัมพันธ์ทางการเมือง ชักนำมวลชนผู้ใช้แรงงานบนท้องถนน ให้ออกมายืนกลางถนน ริมรั้วทำเนียบ ข้างต้นมะขามในสนามหลวง และหลายต่อหลายที่ ซึ่งการเมืองต้องการมวลชน
บางสำนักวิชา มองการเคลื่อนไหว มองขบวนการเคลื่อนไหว ด้วยสายตา สำนึก ทฤษฎี และข้อคิดเห็นที่แตกต่าง บ้างก็กล่าวอ้าง ทฤษฎีมวลชน และการเคลื่อนไหวของความคิดเห็น และกระแสของผู้ย้ายถิ่นฐาน ว่าเป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยอย่างพื้นฐานที่สุด ที่น่าสนใจมาก หากยินดี จะลงภาคสนาม เพื่อนำดัชนีชี้วัดแบบไม่เป็นทางการ มาใช้อ้างอิง ทั้งน่าติดตาม เทียบเท่าดัชนีชี้วัดที่น่าสนใจ ทางสังคมบ้านเรา เหมือนเมื่อเราอยากรู้ว่า ข้าวยากหมากแพง เพียงใด ก็ให้เพียรเข้าตลาด ถามหาราคาไข่ไก่ ราคาน้ำตาลทราย ราคาข้าวสาร หรืออาหารการกินพื้นฐานทั่วไป เราจึงจะทราบว่า เราอยู่ในยุคสมัยที่ยากลำบาก ในการทำอยู่ทำกิน หาอยู่หากินเพียงใด
เช่นเดียวกับน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ที่ทำให้คนชั้นกลาง ต้องรู้ตัว มีสำนึก และมีสติในปัจจุบันขณะอยู่ทุกวัน เมื่อต้องขับรถจากบ้าน แล้วต้องแวะปั๊มน้ำมัน เมื่อนั้น ดัชนีทางเศรษฐกิจ ก็จะเริ่มต้นทำงาน แบบทันทีทันใด ให้เราได้เข้าใจในแต่ละขณะของสังคมเศรษฐกิจ ว่าลมหายใจที่ยากลำบาก หลังจากเติมน้ำมันเช่นใด มีสติที่ตระหนักรู้ได้ว่า ความเหน็ดเหนื่อยจากค่าครองชีพ เป็นเช่นไร ที่น่าเจ็บใจอยากเพิ่มเติมไปที่รัฐบาล หรือเจ็บใจว่าทำไมเรากำหนดราคาน้ำมันเองไม่ได้บ้าง ทำไมบ้านเราไม่มีไหน้ำมัน หรือบ่อน้ำมันฝังอยู่ในแผ่นดิน ให้ลูกหลานได้ใช้กันราคาถูกๆบ้าง
หลังจากกระบวนการทางเศรษฐกิจ และนโยบายที่ต้องการกระจายความเสี่ยงด้านพลังงาน นำพาผู้ขับขี่รถแท๊กซี่ ออกจากสารบบ ของราคาน้ำมัน ผลักดันและโน้มน้าวให้ต้องยุ่งเกี่ยวกับก๊าซ มากกว่าน้ำมัน บ้างคันอาจเติมทั้งน้ำมัน ทั้งก๊าซ บ้างคันเติมก๊าซ อย่างเดียว แล้วแต่เจ้าของอู่ หรือเจ้าของรถจะกำหนด เหมือนดั่งที่แยกเขาออกจากสภาพการรับรู้บางอย่างทางสังคมการเมือง บ้างก็กล่าวติดตลกว่า เรากำลังแยกมวลชนที่มีพลังที่สุด ออกจากการรับรู้ และสื่อสารกับสภาพทางความเข้าใจ ต่อการเคลื่อนไหวของตลาดโลก เพราะเค้ากำลังวิ่งออกจากดัชนีราคาน้ำมันโลก
บ้างก็กล่าวว่า กลไกการรับฟังข้อมูลข่าวสาร ถูกแยกเหลือเพียงวิทยุเทปหรือซีดีติดรถยนต์ บางคันอาจลงทุนติดโทรทัศน์ในรถบ้าง ส่วนใหญ่ก็ฟังข่าวสาร จากสถานีวิทยุคลื่นชุมชนเมือง เครือข่ายชุมชนบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร แต่สุดท้าย เขาก็รับรู้และแลกเปลี่ยนกับคนโดยสาร มากที่สุดในแต่ละวัน เพราะผู้คนที่เขาพบเขาคุยด้วยมากที่สุด คือผู้โดยสาร
มีครั้งหนึ่ง ผมโกรธคนขับรถ นึกถึงแบบลมขึ้นจมูก ความดันสูงทะลุความสามารถในการควบคุมของตัวเอง ดีแต่ว่า ยังไม่ได้ระเบิดออกมา ที่คนขับรถแท๊กซี่คันที่ผมนั่ง ตะบึงเหยียบแซงซ้ายแซงขวา แบบไม่กลัวเกรงสิ่งใด ประหนึ่งขับแรลลี่ปารีส-ดักก้า พาลหนักเข้า เมื่ออยู่ๆ ก็เลี้ยวเข้าปั๊ม จนผมต้องหันไปมองหน้าเขาอย่างจริงจัง จากที่นั่งด้านหลัง เขารีบเปิดประตูออก อย่างทันทีทันใด ก่อนหันมายกมือไหว้ผม แล้วพูดขึ้นว่า
พี่โทษทีนะครับ ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยครับ ปวดท้องไม่ไหวแล้วครับ
โทษทีนะพี่
คุณคิดว่า คุณมองเขาอย่างไร
เพราะผมตอบว่า ไม่เป็นไรพี่ โทษทีเหมือนกัน ตามสบายเลยครับ
เวลานั้น ผมคิดเพียงว่า เหมือนมีใครสักคน มาตบหน้าผม แล้วกระซิบข้างๆหูว่า คิดให้นาน คิดให้ดี และคิดให้รอบด้านกว่านี้หน่อย
สวัสดีค่ะคุณ Kati
มองให้ครบ...
ฟังให้คลุม...
คิดให้รอบด้าน...
ตัดสินใจอย่างสุขุม รอบคอบ...
และทำอย่างมีสติ ไม่ประมาท...
ช่างเป็นการกระตุกต่อมคิดได้ดีเหลือเกิน..
ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับความคิดดีๆ..
ดิฉันได้บทเรียนเรื่อง "อย่าด่วนสรุป" มานับครั้งไม่ถ้วนค่ะ คุณKati และคงจะได้ต่อไปอีกหลายบท เพราะบางเรื่องเราคิดว่าที่เราสรุปไปนั้น สมควรแก่เหตุปัจจัย (ที่เราคิดว่าเรารู้หมด)แล้ว แต่พอถึงบทสรุปจริงๆ มันก็กลับไม่ใช่อย่างที่เราคิด
ดิฉันจึงชอบคำว่า "วุฒิภาวะ" มาก เพราะวุฒิภาวะ ทำให้เราสามารถยอมรับความจริงได้ ว่าเราสรุปผิด โดยไม่ด่วนโมโหใครไปเสียก่อน
และสำหรับวุฒิภาวะนี้ เอ่อ... แม้ดิฉันจะ "ชอบมาก" แต่ก็ไม่ได้แปลว่าดิฉัน "มีอยู่มาก" นะคะ : )