ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีบทบาทที่สำคัญต่อวิถีชีวิตและสังคมของมนุษย์เป็นอย่างมาก เทคโนโลยีสารสนเทศได้สร้างการเปลี่ยนแปลง ให้โอกาส และก่อให้เกิดการพัฒนาแก่องค์การเป็นอย่างมากทั้งนี้เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริการ องค์การต้องอาศัยบุคคลที่มีความสนใจ ความรู้ ความเข้าใจ ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดประโยชน์ สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างทันการณ์ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการแข่งขันอย่างสูงสุดและก่อให้เกิดผลกระทบในด้านลบน้อยที่สุดต่อองค์การและสังคม อย่างไรก็ตามการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์การต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารและวัฒนธรรมขององค์การเป็นสำคัญ
ผู้บริหารควรจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์การดังนี้
1.ด้านบุคคลากร
ผู้บริหารควรวางแผนเรื่องบุคคลากรเนื่องจากการเตรียมบุคคลากรให้พร้อมเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะสร้างและพัฒนา รวมทั้งการใช้งานระบบสารสนเทศเมื่อจัดสร้างเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลากรมีความรู้ ความเข้าใจ เกิดทักษะ ความสามารถและศักยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการจัดฝึกอบรม สัมมนา บรรยายพิเศษ ศึกษาดูงาน รวมทั้งการสรรหาบุคคลากรทางสารสนเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
2.งบประมาณ
ผู้บริหารควรวางแผนเตรียมเงินและวางแนวทางในการจัดหาเงินที่จะนำมาพัฒนาระบบตามแผนที่วางไว้ ตลอดจนการเตรียมเงินสำหรับการพัฒนาระบบในอนาคตอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศที่รวดเร็ว
3.การวางแผน
ผู้บริหารต้องจัดทำแผนการจัดสร้างหรือพัฒนาระบบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยการจัดตั้งคณะทำงานซึ่งอาจประกอบด้วยผู้บริหาร นักออกแบบระบบ ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก และผู้ใช้ระบบ
กรณีศึกษาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มหาวิทยาลัยคริสเตียน
มหาวิทยาลัยคริสเตียนมีจุดมุ่งหมายในการให้บริการ การศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อตอบสนองนโยบายของชาติในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาทุกระดับ โดยมุ่งเน้นความรักและคุณภาพในการให้บริการด้านวิชาการและวิชาชีพ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
1.จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาในสาขาวิชาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
2.ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ ความชำนาญในวิชาชีพ มีทักษะในการบริการ ในการบริหารจัดการ ในการใช้และผลิตเทคโนโลยี และในการสื่อสารระดับสากล มีวินัย คุณธรรม และจริยธรรม
3.เป็นแหล่งแสวงหา ค้นคว้าวิจัย แลกเปลี่ยน ถ่ายทอด สร้างและพัฒนาความรู้
4.เป็นแหล่งบริการทางวิชาการแก่สังคม
5.เป็นแหล่งทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางประการดังกล่าว มหาวิทยาลัยคริสเตียนมีการบริหารจัดการ โดยใช้หลักของ 4 M ซึ่งประกอบด้วย 1).Man 2).Money and Material และ3).Management ดังนี้
1).Man
กำหนดเป็นนโยบาย สร้างความเข้าใจและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งกลุ่มผู้บริหาร คณาจารย์ บุคคลากรและนักศึกษา รวมทั้งจัดอบรม สัมมนา ให้ความรู้ และการศึกษาดูงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้ทรัยากรบุคคลของสถาบันทันต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและข่าวสาร
2).Money and Material
2.1).ในปี 2548 มหาวิทยาลัยคริสเตียนได้ดำเนินกลยุทธ์ของการเป็นสถาบันการศึกษาแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT CAMPUS) โดยมีการสนับสนุนเงินงบประมาณบางส่วนเพื่อให้คณาจารย์ บุคคลากร และนักศึกษาทุกคนมีเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดพกพา (Notebook) ทั้งนี้เพื่อการเรียนรู้และติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องและทันต่อเหตุการณ์ของโลก
2.2.).มหาวิทยาลัยคริสเตียนได้จัดเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากสำหรับคณาจารย์ บุคคลากร และนักศึกษา ทั้งที่ศูนย์วิทยบริการ ศูนย์บริการคอมพิวเตอร์ ห้องปฏิบัติการ ศูนย์บริการวิชาการ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ ศูนย์รับรอง และหอพักนักศึกษา เพื่อรองรับการเรียนรู้ นอกจากนี้แล้วยังจัดให้มีระบบต่างๆเพื่อให้บริการ ในการจัดการเรียน การสอน การฝึกปฏิบัติ และการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลสารสนเทศต่างๆผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ระบบ LAN และ WIRELESS
3).Management
มหาวิทยาลัยคริสเตียนใช้หลักบริหารจัดการแบบผสมผสานเพื่อให้องค์การก้าวไปข้างหน้าโดยควบคู่ไปกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้ง Human resource management , Tatal quality management และ Result based management โดยไม่เลือกเทคนิคการบริหารจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีความเชื่อว่าการควบคุมคุณภาพของการดำเนินงานแบบผสมผสานดังกล่าวจะทำให้องค์การเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด
โดยสรุปความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศได้สร้างการเปลี่ยนแปลง ให้โอกาส และก่อให้เกิดการพัฒนาแก่องค์การมหาวิทยาลัยคริสเตียนเป็นอย่างมาก และไม่เพียงแต่ช่วงเวลาของปัจจุบันเท่านั้น ในอนาคตสถาบันยังต้องเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่าต่อเนื่องโดยไม่หยุดยั้งเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน